นายแก้วสรร อติโพธิ แกนนำกลุ่มไทยสปริง เปิดเผยถึงการฟ้องเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวนกว่า 6 แสนล้านบาท หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังดำเนินการ โดยเรียกร้องให้เร่งดำเนินการไปพร้อมกับคดีอาญาว่า คดีทางแพ่งมีอายุความ 2 ปีและเริ่มนับไปแล้ว แม้คดีอาญาจะขึ้นศาล ผู้รับผิดชอบก็ต้องเร่งทำคดีแพ่งอยู่ดี เนื่องจากอายุความแพ่งไม่สะดุดหยุดลงตามการฟ้องอาญา จะให้รอฟังผลคดีอาญาจนคดีแพ่งขาดอายุความไม่ได้ และหากศาลในคดีอาญาไม่พบความผิดก็ต้องยกฟ้อง แต่คดีแพ่งนั้นพบแค่ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการปฏิบัติราชการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ศาลก็ตัดสินให้ต้องชดใช้ความเสียหายได้
“ดังนั้นข้อเสนอให้รอฟังคดีอาญาก่อนแล้วค่อยพิจารณาฟ้องคดีแพ่งจึงไม่มีเหตุผล ถึงแม้เป็นเรื่องเดียวกันแต่คนละงาน ฐานความผิดคนละฐาน และเหตุหนึ่งที่ทำให้คดีแพ่งไม่ต้องรอผลคดีอาญา เพราะการตรวจสอบความเสียหาย และความรับผิดทางแพ่งต้องรวบรวมผู้รับผิดชอบทั้งหมดมาฟ้องในคราวเดียวกัน ใครในรัฐบาลปูที่รู้เห็นเกี่ยวข้องเห็นชัดตรงหน้าว่าเสียหายอยู่ทุกวัน แล้วยังร่วมกันดื้อดึงผลักดันโครงการต่อไปอีก ก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบหมด จะเหมามาลงที่ นายกฯปู คนเดียวไม่ได้ ถ้ารู้เห็นกันหมดทั้ง ครม. ก็โดนทั้ง ครม.เลยก็ได้ ส่วนโดนคนละเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบทางแพ่งโดยผู้รับผิดชอบทั้งสิ้น”นายแก้วสรรกล่าว
ส่วนกระทรวงการคลังจะมีหน้าที่ต้องรับความเห็น ป.ป.ช.ไปฟ้องแพ่งหรือไม่นั้น นายแก้วสรรกล่าวว่า กระทรวงการคลังไม่มีหน้าที่ฟ้องคดีโดยตรง ป.ป.ช.เพียงแต่บอกกล่าวมายังฝ่ายบริหารให้ทำหน้าที่ตรวจสอบความรับผิดทางแพ่งต่อไปเท่านั้น ในส่วนนี้มีกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ วางระบบไว้โดยเฉพาะอยู่แล้วว่า ต้องเริ่มกระบวนการตรวจสอบโดยการสั่งการของผู้รับผิดชอบทางบริหารก่อน ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบตรวจสอบตามระเบียบสำนักนายกฯระบุให้คนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจสอบ ทั้งความเสียหายและความรับผิดของทุกคนที่เกี่ยวข้องแล้วสั่งการออกมาในที่สุดว่าใครต้องใช้ค่าเสียหายคนละเท่าใด
ทั้งนี้ในกฎหมายปกครองระบุให้นายกฯ ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบแล้วทำสำนวนรายงานมา จากนั้นก็สั่งการตามความเห็นอีกครั้ง หากผู้ถูกกล่าวหาไม่ยอมชดใช้ คดีก็ต้องไปถึงศาลปกครองในที่สุด โดยกระบวนการนี้จะเดินตามกฎหมายไปเรื่อยๆ ไม่หยุดลงตามการเปลี่ยนรัฐบาล นายกฯ ที่สั่งสำนวนนี้ในภายหน้าอาจไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้
“ดังนั้นข้อเสนอให้รอฟังคดีอาญาก่อนแล้วค่อยพิจารณาฟ้องคดีแพ่งจึงไม่มีเหตุผล ถึงแม้เป็นเรื่องเดียวกันแต่คนละงาน ฐานความผิดคนละฐาน และเหตุหนึ่งที่ทำให้คดีแพ่งไม่ต้องรอผลคดีอาญา เพราะการตรวจสอบความเสียหาย และความรับผิดทางแพ่งต้องรวบรวมผู้รับผิดชอบทั้งหมดมาฟ้องในคราวเดียวกัน ใครในรัฐบาลปูที่รู้เห็นเกี่ยวข้องเห็นชัดตรงหน้าว่าเสียหายอยู่ทุกวัน แล้วยังร่วมกันดื้อดึงผลักดันโครงการต่อไปอีก ก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบหมด จะเหมามาลงที่ นายกฯปู คนเดียวไม่ได้ ถ้ารู้เห็นกันหมดทั้ง ครม. ก็โดนทั้ง ครม.เลยก็ได้ ส่วนโดนคนละเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบทางแพ่งโดยผู้รับผิดชอบทั้งสิ้น”นายแก้วสรรกล่าว
ส่วนกระทรวงการคลังจะมีหน้าที่ต้องรับความเห็น ป.ป.ช.ไปฟ้องแพ่งหรือไม่นั้น นายแก้วสรรกล่าวว่า กระทรวงการคลังไม่มีหน้าที่ฟ้องคดีโดยตรง ป.ป.ช.เพียงแต่บอกกล่าวมายังฝ่ายบริหารให้ทำหน้าที่ตรวจสอบความรับผิดทางแพ่งต่อไปเท่านั้น ในส่วนนี้มีกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ วางระบบไว้โดยเฉพาะอยู่แล้วว่า ต้องเริ่มกระบวนการตรวจสอบโดยการสั่งการของผู้รับผิดชอบทางบริหารก่อน ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบตรวจสอบตามระเบียบสำนักนายกฯระบุให้คนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจสอบ ทั้งความเสียหายและความรับผิดของทุกคนที่เกี่ยวข้องแล้วสั่งการออกมาในที่สุดว่าใครต้องใช้ค่าเสียหายคนละเท่าใด
ทั้งนี้ในกฎหมายปกครองระบุให้นายกฯ ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบแล้วทำสำนวนรายงานมา จากนั้นก็สั่งการตามความเห็นอีกครั้ง หากผู้ถูกกล่าวหาไม่ยอมชดใช้ คดีก็ต้องไปถึงศาลปกครองในที่สุด โดยกระบวนการนี้จะเดินตามกฎหมายไปเรื่อยๆ ไม่หยุดลงตามการเปลี่ยนรัฐบาล นายกฯ ที่สั่งสำนวนนี้ในภายหน้าอาจไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้
