รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 17 ก.พ.58 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการประชุมสัมมนาครั้งที่ 3 เพื่อสรุปผลการศึกษาความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรมเศรษฐกิจการเงินและผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)โครงการทางพิเศษสายอุดรรัถยา-พระนครศรีอยุธยา
นายเลิศศักดิ์ จิงหะรานนนท์ รองผู้ว่าการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) กล่าวว่า กทพ.ได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมเพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทางสู่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการต่อขยายจากทางพิเศษอุดรรัถยา ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางปะอินเชื่อมต่อไปยังทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพการเดินทางการขนส่ง และโลจิสติกส์ ช่วยลดความแออัดของถนน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลต่างๆ ที่การจราจรบริเวณนี้หนาแน่นมาก รวมไปถึงเป็นประโยชน์ต่อการขนส่งสินค้า ที่มีฐานการผลิตจำนวนมากในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะทำได้ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นเส้นทางที่ใช้ในการเดินทางและขนส่งสินค้าช่วงอุทกภัยอีกด้วย ที่ผ่านมากทพ.ได้ศึกษาเส้นทางที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งในการจัดสัมมนาครั้งที่ 3 นี้ จะเป็นการสรุปโครงการ
ด้านนายเทิดศักดิ์ พ่วงจินดา ผู้จัดการโครงการกล่าวว่า โครงการนี้มีมูลค่าโครการ 30,792 ล้านบาท ออกแแบบโครงสร้างทางยกระดับขนาด 4 ช่องทางจราจร ซึ่งโครงการดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นโครงการเชื่อมต่อกับทางพิเศษอุดรรัถยาที่อำเภอบางไทร หลังจากแนวสายทางพิเศษจะมีทิศทางมุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออ้อมด้านหลังสถานีตำรวจภูธรบางประอินสาขาเชียงรากน้อย แนวสายทางดังกล่าวจะขนานกับทางหลวงหมายเลข 347 แนวสายทางจะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตรงบริเวณตำบลเกาะเกิด จากนั้นจะมุ่งขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของทางหลวง 347 สำหรับแนวสายทางพิเศษเมือตัดผ่านถนนและทางหลวงสายสำคัญจะออกแบบทางขึ้นลงทางพิเศษ เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ทางพิเศษในการขึ้นลงอย่างสะดวก ซึ่งรวมระยะทางโครงการ 42 กิโลเมตร เป็นทางยกระดับตลอดเส้นทาง ครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอประกอบไปด้วย อำเภอบางไทร อำเภอบางปะอิน อำเภอบางบาล อำเภอพระนครศรีอยุธยา และอำเภอบางประหัน
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะเริ่มการดำเนินการก่อสร้างในปี 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 ในโครงการฯจะมีเขตทาง 40 เมตร ผ่าน 19 ตำบล มีจุดตัดแนวแม่น้ำเจ้าพระยา 2 แห่ง มีจำนวนที่ดินที่จะต้องมีการเวนคืนจำนวน 1,561 ไร่ จำนวนสิ่งปลูกสร้างที่ต้องรื้อย้ายจำนวน 84 หลัง ทั้งนี้จะต้องมีการพูดคุยชดเชยทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างอย่างเป็นธรรม และดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สินตลอดแนวเส้นทางที่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตามในที่ประชุมประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ ยังคงมีความกังวลว่าการสร้างโครงการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการสัญจร และเสี่ยงต่อความปลอดภัย รวมไปถึงการทางเกษตรซึ่งทางที่ปรึกษาได้รับเรื่องและนำไปพิจราณา เพื่อปรับเปลี่ยนให้อำนวยความสะดวกประชาชนมากที่สุด
สำหรับจัดเก็บอัตราค่าผ่านทางนั้น โครงการทางพิเศษสายอุดรรัถยา-พระนครศรีอยุธยา จะจัดเก็บค่าผ่านทางในระบบปิด(Closedsystem)โดยจะเก็บอัตราค่าผ่านทางแรกเข้า 35 บาท และเก็บค่าผ่านทางการใช้ทางพิเศษ 0.50บาท/กิโลเมตร โดยในปีเปิดให้บริการทางพิเศษปีงบประมาณ2565 ผู้ใช้เส้นทางพิเศษตลอดสายทาง 42 กิโลเมตร รถยนต์ 4 ล้อ จะจ่ายค่าผ่านทาง 55 บาท รถยนต์ 6-10 ล้อ จะจ่ายค่าผ่านทาง 110 บาท และรถยนต์มากกว่า 10 ล้อ จะต้องจ่ายค่าผ่านทาง 165 บาท สำหรับอัตราค่าผ่านจะปรับมีการปรับทุกๆ 5 ปี ตามอัตราการเพิ่มขึ้นของดัชนีผู้บริโภค
นายเลิศศักดิ์ จิงหะรานนนท์ รองผู้ว่าการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) กล่าวว่า กทพ.ได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมเพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทางสู่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการต่อขยายจากทางพิเศษอุดรรัถยา ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษบางปะอินเชื่อมต่อไปยังทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพการเดินทางการขนส่ง และโลจิสติกส์ ช่วยลดความแออัดของถนน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลต่างๆ ที่การจราจรบริเวณนี้หนาแน่นมาก รวมไปถึงเป็นประโยชน์ต่อการขนส่งสินค้า ที่มีฐานการผลิตจำนวนมากในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะทำได้ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นเส้นทางที่ใช้ในการเดินทางและขนส่งสินค้าช่วงอุทกภัยอีกด้วย ที่ผ่านมากทพ.ได้ศึกษาเส้นทางที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งในการจัดสัมมนาครั้งที่ 3 นี้ จะเป็นการสรุปโครงการ
ด้านนายเทิดศักดิ์ พ่วงจินดา ผู้จัดการโครงการกล่าวว่า โครงการนี้มีมูลค่าโครการ 30,792 ล้านบาท ออกแแบบโครงสร้างทางยกระดับขนาด 4 ช่องทางจราจร ซึ่งโครงการดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นโครงการเชื่อมต่อกับทางพิเศษอุดรรัถยาที่อำเภอบางไทร หลังจากแนวสายทางพิเศษจะมีทิศทางมุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออ้อมด้านหลังสถานีตำรวจภูธรบางประอินสาขาเชียงรากน้อย แนวสายทางดังกล่าวจะขนานกับทางหลวงหมายเลข 347 แนวสายทางจะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตรงบริเวณตำบลเกาะเกิด จากนั้นจะมุ่งขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของทางหลวง 347 สำหรับแนวสายทางพิเศษเมือตัดผ่านถนนและทางหลวงสายสำคัญจะออกแบบทางขึ้นลงทางพิเศษ เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ทางพิเศษในการขึ้นลงอย่างสะดวก ซึ่งรวมระยะทางโครงการ 42 กิโลเมตร เป็นทางยกระดับตลอดเส้นทาง ครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอประกอบไปด้วย อำเภอบางไทร อำเภอบางปะอิน อำเภอบางบาล อำเภอพระนครศรีอยุธยา และอำเภอบางประหัน
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะเริ่มการดำเนินการก่อสร้างในปี 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 ในโครงการฯจะมีเขตทาง 40 เมตร ผ่าน 19 ตำบล มีจุดตัดแนวแม่น้ำเจ้าพระยา 2 แห่ง มีจำนวนที่ดินที่จะต้องมีการเวนคืนจำนวน 1,561 ไร่ จำนวนสิ่งปลูกสร้างที่ต้องรื้อย้ายจำนวน 84 หลัง ทั้งนี้จะต้องมีการพูดคุยชดเชยทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างอย่างเป็นธรรม และดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สินตลอดแนวเส้นทางที่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตามในที่ประชุมประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ ยังคงมีความกังวลว่าการสร้างโครงการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการสัญจร และเสี่ยงต่อความปลอดภัย รวมไปถึงการทางเกษตรซึ่งทางที่ปรึกษาได้รับเรื่องและนำไปพิจราณา เพื่อปรับเปลี่ยนให้อำนวยความสะดวกประชาชนมากที่สุด
สำหรับจัดเก็บอัตราค่าผ่านทางนั้น โครงการทางพิเศษสายอุดรรัถยา-พระนครศรีอยุธยา จะจัดเก็บค่าผ่านทางในระบบปิด(Closedsystem)โดยจะเก็บอัตราค่าผ่านทางแรกเข้า 35 บาท และเก็บค่าผ่านทางการใช้ทางพิเศษ 0.50บาท/กิโลเมตร โดยในปีเปิดให้บริการทางพิเศษปีงบประมาณ2565 ผู้ใช้เส้นทางพิเศษตลอดสายทาง 42 กิโลเมตร รถยนต์ 4 ล้อ จะจ่ายค่าผ่านทาง 55 บาท รถยนต์ 6-10 ล้อ จะจ่ายค่าผ่านทาง 110 บาท และรถยนต์มากกว่า 10 ล้อ จะต้องจ่ายค่าผ่านทาง 165 บาท สำหรับอัตราค่าผ่านจะปรับมีการปรับทุกๆ 5 ปี ตามอัตราการเพิ่มขึ้นของดัชนีผู้บริโภค
