นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฟ้องคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา เมื่อปี 2551 ว่า ในฐานะที่ตนเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี มั่นใจในความบริสุทธิ์ต่อเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่า ในครั้งที่ตนปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและสุจริตตามอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่พึงปฏิบัติ และยืนยันว่ามิได้กระทำผิดใดๆ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ฟ้องคดีเอากับตน เพราะก่อนหน้า ป.ป.ช.ฟ้องคดี ได้มีการพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้เสร็จสิ้น โดยอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีเอากับตนแล้ว เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2555 จนถึงบัดนี้รวมเวลา 2 ปีเศษ และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็เคยยื่นฟ้องถอดถอนตนต่อวุฒิสภา ซึ่งวุฒิสภาได้มีมติไม่ถอดถอนตน เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 นับจนถึงบัดนี้เป็นเวลา 5 ปีเศษ แต่ ป.ป.ช.กลับนำเรื่องที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง และวุฒิสภามีมติไม่ถอดถอนมาฟ้องคดีที่ศาลอีกครั้ง อีกทั้งปรากฏว่าในชั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายผู้ปฏิบัติสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และศาลปกครอง ได้มีคำพิพากษาให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ และได้มีการคืนความเป็นธรรมให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติแล้ว ดังนั้น ในฐานะที่ตนเป็นฝ่ายบริหาร จึงควรจะได้รับความเป็นธรรมจากการที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ฟ้องคดีในครั้งนี้ด้วย
การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งประทับรับฟ้อง และมีคำสั่งนัดพิจารณาครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การจำเลย ในวันที่ 11 พฤษภาคมนี้ ถือว่าเป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการปกติของการดำเนินคดีในศาล ซึ่งยังจะต้องมีขั้นตอนกระบวนการของกฎหมายอีกหลายขั้นตอน ในการอำนวยความยุติธรรม อาทิ การแถลงเปิดคดี การนัดสืบพยาน และการแถลงปิดคดีของคู่ความทั้งโจทก์และจำเลย ก่อนที่ศาลจะได้มีคำพิพากษาต่อไป ตนในฐานะอดีตผู้พิพากษา มีความมั่นใจว่าศาลยุติธรรมจะได้พิจารณาคดีของตนโดยปราศจากอคติ และเป็นไปโดยถูกต้องและเที่ยงธรรม แม้ตลอดมาตนในฐานะที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี จะไม่ได้รับความเป็นธรรมใดๆ จากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็ตาม แต่เมื่อเรื่องมาถึงศาลแล้วตนก็พร้อมจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และมีพยานหลักฐานที่จะยืนยันความบริสุทธิ์
ทั้งนี้ นายสมชาย ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ ป.ป.ช.มาฟ้องคดีให้ตนต้องรับผิดตามกฎหมายในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่เรื่องควรจะจบแล้วนั้น ป.ป.ช.ได้ยึดหลักนิติธรรมในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ประการใด หากเทียบกับคดีที่มีการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ที่มีข้อพิจารณาต่อตัวผู้ถูกกล่าวหาในคดีแตกต่างจะคดีของตน ดังนั้น จึงขอให้สังคมได้โปรดช่วยกันตรวจสอบ และขอเรียกร้องทุกฝ่ายยุติการชี้นำคดีนี้ ปล่อยให้ศาลพิจารณาและพิพากษาคดีไปตามขั้นตอนและกระบวนการของกฎหมายต่อไป
การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งประทับรับฟ้อง และมีคำสั่งนัดพิจารณาครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การจำเลย ในวันที่ 11 พฤษภาคมนี้ ถือว่าเป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการปกติของการดำเนินคดีในศาล ซึ่งยังจะต้องมีขั้นตอนกระบวนการของกฎหมายอีกหลายขั้นตอน ในการอำนวยความยุติธรรม อาทิ การแถลงเปิดคดี การนัดสืบพยาน และการแถลงปิดคดีของคู่ความทั้งโจทก์และจำเลย ก่อนที่ศาลจะได้มีคำพิพากษาต่อไป ตนในฐานะอดีตผู้พิพากษา มีความมั่นใจว่าศาลยุติธรรมจะได้พิจารณาคดีของตนโดยปราศจากอคติ และเป็นไปโดยถูกต้องและเที่ยงธรรม แม้ตลอดมาตนในฐานะที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี จะไม่ได้รับความเป็นธรรมใดๆ จากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็ตาม แต่เมื่อเรื่องมาถึงศาลแล้วตนก็พร้อมจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และมีพยานหลักฐานที่จะยืนยันความบริสุทธิ์
ทั้งนี้ นายสมชาย ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ ป.ป.ช.มาฟ้องคดีให้ตนต้องรับผิดตามกฎหมายในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่เรื่องควรจะจบแล้วนั้น ป.ป.ช.ได้ยึดหลักนิติธรรมในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ประการใด หากเทียบกับคดีที่มีการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ที่มีข้อพิจารณาต่อตัวผู้ถูกกล่าวหาในคดีแตกต่างจะคดีของตน ดังนั้น จึงขอให้สังคมได้โปรดช่วยกันตรวจสอบ และขอเรียกร้องทุกฝ่ายยุติการชี้นำคดีนี้ ปล่อยให้ศาลพิจารณาและพิพากษาคดีไปตามขั้นตอนและกระบวนการของกฎหมายต่อไป