ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ออกเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมกรณีเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ระบุว่า.
ตามที่ธนาคารได้มีการแถลงชี้แจงเกี่ยวกับกรณีของบัญชีเงินฝากของ สจล.กับสื่อมวลชนไปแล้วเมื่อ วันศุกร์ที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญและสังคมยังคงมีคำถามในอีกหลายประเด็น ในวันนี้ธนาคารจึงได้จัดให้มีการแถลงข่าวโดย ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร เพื่อชี้แจงในจุดยืนและนโยบายของธนาคารเกี่ยวกับกรณีนี้ ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย สรุปใจความสำคัญได้ดังนี้
เรื่องเอกสาร ธนาคารขอยืนยันว่าธนาคารได้ให้ความร่วมมือกับตำรวจอย่างเต็มที่ โดยเริ่มส่งเอกสารให้ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม จนถึงปัจจุบัน ล่าสุดคือเมื่อวานนี้ (26 มค.) ความล่าช้าที่เกิดขึ้นเนื่องจากเป็นการรวบรวมเอกสารย้อนหลังจำนวนมาก และมีเอกสารหลายรายการที่ธนาคารต้องประสานขอจากธนาคารอื่นด้วย สำหรับเอกสารที่ สจล.ขอมานั้น ธนาคารได้ส่งให้แล้วเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งความล่าช้าที่เกิดขึ้นแก่ สจล.นั้น ธนาคารขอยอมรับว่าเป็นเพราะที่ผ่านมาธนาคารให้ความสำคัญกับการนำส่งหลักฐานให้ตำรวจเป็นลำดับแรก ซึ่งก็นับว่าเป็นผลดีต่อคดีทำให้ตำรวจสามารถติดตามขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตนี้
เรื่องอดีตผู้จัดการสาขาที่เกี่ยวข้อง เมื่อธนาคารพบความผิดปกติได้ทำการตรวจสอบและพบว่ามีการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ธนาคารจึงติดต่อกลับไปยังเจ้าของบัญชีเพื่อขอให้ตรวจสอบและขอให้ยืนยัน ซึ่งก็ได้รับหนังสือยืนยันความถูกต้องกลับมา อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนั้นเจ้าของบัญชีจะไม่มีประเด็นเรื่องการทุจริต แต่พฤติกรรมที่มีการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบ ธนาคารจึงขาดความไว้วางใจที่จะให้ปฏิบัติงานต่อไปและให้พนักงานลาออกไป
ธนาคารขอเรียนว่า แม้ว่าในขณะเวลานั้นธนาคารมิได้ดำเนินการทางกฎหมายกับพนักงาน แต่ในภายหน้า หากผลการสอบสวนของตำรวจพบหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า พนักงานธนาคารร่วมทำการทุจริตอันเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ ธนาคารพร้อมที่จะรับผิดชอบตามกฎหมายและตามกระบวนการยุติธรรม
ธนาคารยืนยันในการให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ ไม่มีการประวิงคดี เพราะธนาคารก็ต้องการให้เรื่องกระจ่างเช่นกัน นอกจากนี้ จะได้จัดให้มีทีมผู้บริหารไปพบสถาบันการศึกษาอื่นๆ เพื่ออธิบายและสร้างความมั่นใจ รวมถึงจะกำหนดเป็นนโยบายทางวินัยให้ชัดเจนว่า แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนในเชิงทุจริตที่จะดำเนินคดีอาญากับพนักงานได้ก็ตาม แต่หากมีพฤติกรรมที่ธนาคารขาดความไว้วางใจที่จะให้ปฏิบัติงานต่อไปแล้ว ให้กำหนดโทษขั้นไล่ออกไว้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อแสดงจุดยืนของธนาคารที่จะไม่ประนีประนอมต่อเรื่องทุจริต
ตามที่ธนาคารได้มีการแถลงชี้แจงเกี่ยวกับกรณีของบัญชีเงินฝากของ สจล.กับสื่อมวลชนไปแล้วเมื่อ วันศุกร์ที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญและสังคมยังคงมีคำถามในอีกหลายประเด็น ในวันนี้ธนาคารจึงได้จัดให้มีการแถลงข่าวโดย ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร เพื่อชี้แจงในจุดยืนและนโยบายของธนาคารเกี่ยวกับกรณีนี้ ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย สรุปใจความสำคัญได้ดังนี้
เรื่องเอกสาร ธนาคารขอยืนยันว่าธนาคารได้ให้ความร่วมมือกับตำรวจอย่างเต็มที่ โดยเริ่มส่งเอกสารให้ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม จนถึงปัจจุบัน ล่าสุดคือเมื่อวานนี้ (26 มค.) ความล่าช้าที่เกิดขึ้นเนื่องจากเป็นการรวบรวมเอกสารย้อนหลังจำนวนมาก และมีเอกสารหลายรายการที่ธนาคารต้องประสานขอจากธนาคารอื่นด้วย สำหรับเอกสารที่ สจล.ขอมานั้น ธนาคารได้ส่งให้แล้วเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งความล่าช้าที่เกิดขึ้นแก่ สจล.นั้น ธนาคารขอยอมรับว่าเป็นเพราะที่ผ่านมาธนาคารให้ความสำคัญกับการนำส่งหลักฐานให้ตำรวจเป็นลำดับแรก ซึ่งก็นับว่าเป็นผลดีต่อคดีทำให้ตำรวจสามารถติดตามขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตนี้
เรื่องอดีตผู้จัดการสาขาที่เกี่ยวข้อง เมื่อธนาคารพบความผิดปกติได้ทำการตรวจสอบและพบว่ามีการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ธนาคารจึงติดต่อกลับไปยังเจ้าของบัญชีเพื่อขอให้ตรวจสอบและขอให้ยืนยัน ซึ่งก็ได้รับหนังสือยืนยันความถูกต้องกลับมา อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนั้นเจ้าของบัญชีจะไม่มีประเด็นเรื่องการทุจริต แต่พฤติกรรมที่มีการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบ ธนาคารจึงขาดความไว้วางใจที่จะให้ปฏิบัติงานต่อไปและให้พนักงานลาออกไป
ธนาคารขอเรียนว่า แม้ว่าในขณะเวลานั้นธนาคารมิได้ดำเนินการทางกฎหมายกับพนักงาน แต่ในภายหน้า หากผลการสอบสวนของตำรวจพบหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า พนักงานธนาคารร่วมทำการทุจริตอันเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ ธนาคารพร้อมที่จะรับผิดชอบตามกฎหมายและตามกระบวนการยุติธรรม
ธนาคารยืนยันในการให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ ไม่มีการประวิงคดี เพราะธนาคารก็ต้องการให้เรื่องกระจ่างเช่นกัน นอกจากนี้ จะได้จัดให้มีทีมผู้บริหารไปพบสถาบันการศึกษาอื่นๆ เพื่ออธิบายและสร้างความมั่นใจ รวมถึงจะกำหนดเป็นนโยบายทางวินัยให้ชัดเจนว่า แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนในเชิงทุจริตที่จะดำเนินคดีอาญากับพนักงานได้ก็ตาม แต่หากมีพฤติกรรมที่ธนาคารขาดความไว้วางใจที่จะให้ปฏิบัติงานต่อไปแล้ว ให้กำหนดโทษขั้นไล่ออกไว้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อแสดงจุดยืนของธนาคารที่จะไม่ประนีประนอมต่อเรื่องทุจริต