นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยจากมาตรการเพิ่มปริมาณเงิน (คิวอี) ของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ว่า การเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยูโรโซนจำนวน 60,000 ล้านยูโรต่อเดือน ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มาก โดยเฉพาะเมื่อรวมกับมาตรการคิวอีของประเทศญี่ปุ่น จำนวน 80 ล้านล้านเยนต่อปี หรือเทียบเป็นเงินยูโรได้จำนวน 60,000 ล้านยูโร ดังนั้น ก็จะส่งผลกระทบให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตราสารทุนและการเงินของประเทศอื่น รวมถึงไทย
ทั้งนี้ เมื่อมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นตราสารหนี้ จะทำให้เงินบาทแข็งค่า กระทบภาคส่งออกจะน้อยลง โดยกรณีเงินเยนที่อ่อนค่า ไทยจะได้รับผลกระทบมาก เพราะญี่ปุ่นค้าขายกับไทยมาก แต่อีกด้านการเพิ่มปริมาณเงินของประเทศดังกล่าวอาจส่งผลให้การบริโภคในประเทศเขาสูงขึ้นด้วย และทำให้การส่งออกของเราได้รับผลดีตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ในด้านการแข่งขัน ทุกประเทศก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวเท่ากัน ไม่ควรตกใจมาก
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าว เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะใช้มาตรการการเงินเข้ามาดูแลและติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการควบคุมเงินทุนไหลเข้าให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่ง ธปท.ก็มีหลายมาตรการ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ รวมถึงการขายเงินตราต่างประเทศ แต่ทั้งนี้ จะใช้มาตรการสกัดไม่ให้เงินไหลเข้ามามาก ก็ไม่ได้เป็นผลดี เพราะบาทจะแข็งมาก ตามทฤษฎี คือ ลดดอกเบี้ย เป็นการแก้เกม ส่วนมาตรการการคลัง คือ เพิ่มรายจ่ายในภูมิภาคต่อเนื่อง ซึ่งก็ทำเต็มที่
ขณะที่นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในการประชุมร่วมกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ วานนี้ (23 ม.ค.) นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจเตรียมมาตรการรับมือกรณีคิวอีของอีซีบี โดยให้ดูว่าควรจะมีมาตรการอะไรเพื่อลดผลกระทบต่อไทย ทั้งนี้ มาตรการด้านการคลังก็ทำพอสมควรแล้ว ส่วนใหญ่เป็นการช่วยเหลือผู้ส่งออก และลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ อาทิ การลดภาษีให้เอสเอ็มอี การลดภาษีวัตถุดิบ เครื่องจักร สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ต่อจากนี้ น่าจะต้องใช้มาตรการทางการเงินจาก ธปท.ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในการดูแลค่าเงินบาท ที่จะได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายเงินทุน หลังจากยุโรปได้มีการประกาศใช้คิวอีจะทำให้เงินไหลมายังภูมิภาคนี้ รวมถึงไทยมากขึ้น และอาจทำให้เกิดสงครามค่าเงินในหลายประเทศ”
ทั้งนี้ เมื่อมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นตราสารหนี้ จะทำให้เงินบาทแข็งค่า กระทบภาคส่งออกจะน้อยลง โดยกรณีเงินเยนที่อ่อนค่า ไทยจะได้รับผลกระทบมาก เพราะญี่ปุ่นค้าขายกับไทยมาก แต่อีกด้านการเพิ่มปริมาณเงินของประเทศดังกล่าวอาจส่งผลให้การบริโภคในประเทศเขาสูงขึ้นด้วย และทำให้การส่งออกของเราได้รับผลดีตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ในด้านการแข่งขัน ทุกประเทศก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวเท่ากัน ไม่ควรตกใจมาก
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าว เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะใช้มาตรการการเงินเข้ามาดูแลและติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการควบคุมเงินทุนไหลเข้าให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่ง ธปท.ก็มีหลายมาตรการ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ รวมถึงการขายเงินตราต่างประเทศ แต่ทั้งนี้ จะใช้มาตรการสกัดไม่ให้เงินไหลเข้ามามาก ก็ไม่ได้เป็นผลดี เพราะบาทจะแข็งมาก ตามทฤษฎี คือ ลดดอกเบี้ย เป็นการแก้เกม ส่วนมาตรการการคลัง คือ เพิ่มรายจ่ายในภูมิภาคต่อเนื่อง ซึ่งก็ทำเต็มที่
ขณะที่นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในการประชุมร่วมกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ วานนี้ (23 ม.ค.) นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจเตรียมมาตรการรับมือกรณีคิวอีของอีซีบี โดยให้ดูว่าควรจะมีมาตรการอะไรเพื่อลดผลกระทบต่อไทย ทั้งนี้ มาตรการด้านการคลังก็ทำพอสมควรแล้ว ส่วนใหญ่เป็นการช่วยเหลือผู้ส่งออก และลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ อาทิ การลดภาษีให้เอสเอ็มอี การลดภาษีวัตถุดิบ เครื่องจักร สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ต่อจากนี้ น่าจะต้องใช้มาตรการทางการเงินจาก ธปท.ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในการดูแลค่าเงินบาท ที่จะได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายเงินทุน หลังจากยุโรปได้มีการประกาศใช้คิวอีจะทำให้เงินไหลมายังภูมิภาคนี้ รวมถึงไทยมากขึ้น และอาจทำให้เกิดสงครามค่าเงินในหลายประเทศ”
