นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) เปิดเผยว่า จากราคาแอลพีจีตลาดโลกที่ร่วงลงมาเหลือประมาณ 425 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน โดยผู้บริโภคคาดหวังว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) วันพรุ่งนี้ น่าจะปรับลดราคาน้ำมันแอลพีจีขายปลีกจาก 24.16 บาทต่อกิโลกรัมลงมาบ้าง เพื่อสะท้อนราคาต้นทุน
ด้าน นายชวลิต พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ระบุว่า ยังไม่ชัดเจนว่า ราคาแอลพีจีขายปลีกจะลดลงหรือไม่ เพราะว่าต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย รวมถึงเป้าหมายที่จะให้มีวงเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสมเพียงพอในการดูแลรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน โดยปัจจุบันเงินกองทุนน้ำมันมีประมาณ 15,000 ล้านบาท แต่อาจจะต้องมีรายจ่ายเพิ่มถึง 2-3 พันล้านบาท หากมีการจ่ายภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลคงค้างตามที่กรมสรรพสามิตระบุ ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างราคาพลังงานเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่ให้ลดเงินกองทุนน้ำมัน และเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่ม 2.50 บาทต่อลิตร ทำให้ภาษีดีเซลขยับจาก 75 สตางค์ เป็น 3.25 บาท โดยกรมสรรพสามิตตีความว่า น้ำมันคงค้างของผู้ค้าน้ำมัน และโรงกลั่นน้ำมันในสต๊อกต่างๆ ถือว่าเป็นน้ำมันเพื่อการผลิตต้องเสียภาษีในอัตราใหม่ ทำให้ ปตท.จะต้องเสียภาษีกว่า 1,700 ล้านบาท หากรวมทั้งระบบทุกรายอาจมากถึง 2-3 พันล้านบาท ซึ่งเอกชนเสนอให้กระทรวงพลังงานช่วยเหลือ โดยให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปจ่ายภาษีทดแทน แต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับกรมสรรพสามิตที่จะไปเรียกเก็บภาษีน้ำมันในสต๊อก ถือว่าเป็นการเก็บย้อนหลัง เพราะว่าที่ผ่านมาเอกชนเสียภาษี และปฏิบัติตามนโยบายรัฐจึงไม่ควรเดือดร้อน การตีความทางกฎหมายควรสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
ด้าน นายชวลิต พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ระบุว่า ยังไม่ชัดเจนว่า ราคาแอลพีจีขายปลีกจะลดลงหรือไม่ เพราะว่าต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย รวมถึงเป้าหมายที่จะให้มีวงเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสมเพียงพอในการดูแลรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน โดยปัจจุบันเงินกองทุนน้ำมันมีประมาณ 15,000 ล้านบาท แต่อาจจะต้องมีรายจ่ายเพิ่มถึง 2-3 พันล้านบาท หากมีการจ่ายภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลคงค้างตามที่กรมสรรพสามิตระบุ ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างราคาพลังงานเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่ให้ลดเงินกองทุนน้ำมัน และเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่ม 2.50 บาทต่อลิตร ทำให้ภาษีดีเซลขยับจาก 75 สตางค์ เป็น 3.25 บาท โดยกรมสรรพสามิตตีความว่า น้ำมันคงค้างของผู้ค้าน้ำมัน และโรงกลั่นน้ำมันในสต๊อกต่างๆ ถือว่าเป็นน้ำมันเพื่อการผลิตต้องเสียภาษีในอัตราใหม่ ทำให้ ปตท.จะต้องเสียภาษีกว่า 1,700 ล้านบาท หากรวมทั้งระบบทุกรายอาจมากถึง 2-3 พันล้านบาท ซึ่งเอกชนเสนอให้กระทรวงพลังงานช่วยเหลือ โดยให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปจ่ายภาษีทดแทน แต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับกรมสรรพสามิตที่จะไปเรียกเก็บภาษีน้ำมันในสต๊อก ถือว่าเป็นการเก็บย้อนหลัง เพราะว่าที่ผ่านมาเอกชนเสียภาษี และปฏิบัติตามนโยบายรัฐจึงไม่ควรเดือดร้อน การตีความทางกฎหมายควรสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย