การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) วันนี้ มีนางทัศนา บุญทอง รองประธาน สปช.คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งได้พิจารณารายงานศึกษาเรื่องการกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานที่เป็นจริง โดยคิดเป็นวินาที ซึ่งคณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาแล้วเสร็จ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้บริโภค
น.ส.อารี อ๋องสมหวัง ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค ชี้แจงหลักการสำคัญว่า ที่ผ่านมาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่คิดค่าบริการเป็นนาที โดยการปัดเศษวินาที เป็นนาที ซึ่งการคิดค่าบริการดังกล่าวไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้บริการ เพราะการปัดเศษวินาทีต่อการใช้งานโทรศัพท์แต่ละครั้ง เป็นเหตุให้ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มมากขึ้นถึง 3,000 ล้านบาทต่อเดือน และจากการสำรวจพบว่า หากคิดค่าบริการตามจริง ผู้บริโภคสามารถลดค่าโทรศัพท์ลงได้คนละประมาณ 40 บาทต่อเดือน หรือทั้งประเทศ 3,000 ล้านบาทต่อเดือน และ 43,092 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ จึงเรียกร้องให้ กสทช.ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 โดยขอให้ กสทช.ใช้อำนาจตามมาตรา 31 วรรค 2 มีคำสั่งห้ามผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคมโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียง คิดค่าบริการโดยปัดเศษวินาทีขึ้นเป็น 1 นาที เนื่องจากเป็นการกระทำที่มีลักษณะเอาเปรียบผู้บริโภค และค้ากำไรเกินควร พร้อมขอให้ กสทช.ใช้อำนาจตามมาตรา 27 (9) กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ คิดค่าบริการตามระยะเวลาที่ใช้งานจริงเป็นวินาที โดยไม่มีการปัดเศษเป็นนาที รวมทั้งให้ กสทช.ดำเนินการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ด้วยการเร่งการออกประกาศหลักเกณฑ์ว่าด้วยการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค โดยอาศัยการใช้เครือข่ายในการโฆษณา อันมีลักษณะเป็นการค้ากำไรเกินควร หรือก่อให้เกิดความรำคาญ เดือดร้อน
ขณะที่สมาชิก สปช.ส่วนใหญ่ เช่น นายวันชัย สอนศิริ เห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการฯ เพราะเรื่องนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และคืนความเป็นธรรมให้กับผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบอีกต่อไป โดยเร่งรัดให้ กสทช.ดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ ที่ประชุม สปช.เตรียมที่จะพิจารณารายงานพิจารณาศึกษาเรื่องสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ กับการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลของประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล
น.ส.อารี อ๋องสมหวัง ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค ชี้แจงหลักการสำคัญว่า ที่ผ่านมาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่คิดค่าบริการเป็นนาที โดยการปัดเศษวินาที เป็นนาที ซึ่งการคิดค่าบริการดังกล่าวไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้บริการ เพราะการปัดเศษวินาทีต่อการใช้งานโทรศัพท์แต่ละครั้ง เป็นเหตุให้ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มมากขึ้นถึง 3,000 ล้านบาทต่อเดือน และจากการสำรวจพบว่า หากคิดค่าบริการตามจริง ผู้บริโภคสามารถลดค่าโทรศัพท์ลงได้คนละประมาณ 40 บาทต่อเดือน หรือทั้งประเทศ 3,000 ล้านบาทต่อเดือน และ 43,092 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ จึงเรียกร้องให้ กสทช.ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 โดยขอให้ กสทช.ใช้อำนาจตามมาตรา 31 วรรค 2 มีคำสั่งห้ามผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคมโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียง คิดค่าบริการโดยปัดเศษวินาทีขึ้นเป็น 1 นาที เนื่องจากเป็นการกระทำที่มีลักษณะเอาเปรียบผู้บริโภค และค้ากำไรเกินควร พร้อมขอให้ กสทช.ใช้อำนาจตามมาตรา 27 (9) กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ คิดค่าบริการตามระยะเวลาที่ใช้งานจริงเป็นวินาที โดยไม่มีการปัดเศษเป็นนาที รวมทั้งให้ กสทช.ดำเนินการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ด้วยการเร่งการออกประกาศหลักเกณฑ์ว่าด้วยการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค โดยอาศัยการใช้เครือข่ายในการโฆษณา อันมีลักษณะเป็นการค้ากำไรเกินควร หรือก่อให้เกิดความรำคาญ เดือดร้อน
ขณะที่สมาชิก สปช.ส่วนใหญ่ เช่น นายวันชัย สอนศิริ เห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการฯ เพราะเรื่องนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และคืนความเป็นธรรมให้กับผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบอีกต่อไป โดยเร่งรัดให้ กสทช.ดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ ที่ประชุม สปช.เตรียมที่จะพิจารณารายงานพิจารณาศึกษาเรื่องสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ กับการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลของประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล