เวลา 09.30 น. วันนี้ (9 ธ.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้องนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำ นปช. เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา กรณีเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2552 และ วันที่ 17 ตุลาคม 2552 จำเลยปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และหน้าทำเนียบรัฐบาล ถ่ายทอดสดผ่านช่องพีเพิลชาแนล กล่าวหาโจทก์ทำนองว่า การบริหารงานรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ กู้ยืมเงินมาเพื่อทุจริตคดโกง โดยการหยิบยกเรื่องสถาบันมากล่าวอ้าง และกล่าวหาว่าโจทก์เป็นผู้หน่วงเหนี่ยวคำร้องฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้ล่าช้า รวมถึงสั่งทหารฆ่าประชาชน ปล้นอำนาจจากประชาชน และไม่ดำเนินการตรวจสอบการทุจริตในโครงการต่างๆ การปราศรัยของจำเลยล้วนเป็นเท็จ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกล่าวข้อความเท็จ ยุยง ปลุกปั่นประชาชนที่รับฟังการปราศรัย ทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง กระทั่งเหตุการณ์บานปลายทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง เป็นการมุ่งหวังทางการเมืองที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายพรรคการเมืองที่จำเลยสังกัด ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต ให้จำคุกจำเลยฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น ตามมาตรา 326 และ 328 รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน แต่ด้วยเหตุมีการกล่าวพาดพิงสถาบัน จึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ และให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์มติชน และหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์และจำเลยเป็นนักการเมือง มีอุดมการณ์แตกต่างกัน และอยู่พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม สาระสำคัญที่จำเลยพูดปราศรัยมิใช่เป็นการแสดงอุดมการณ์ทางการเมือง แต่จำเลยกล่าวปราศรัยสรุปว่าโจทก์และรัฐบาลของโจทก์มีเรื่องทุจริต ซึ่งเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต และการเมืองเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชน ประเทศชาติและบ้านเมือง จึงมิใช่แต่เพียงการนำเอาถ้อยคำที่ดุเด็ดเผ็ดมันมาพูดปราศรัยโจมตีฝ่ายตรงข้ามตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่นายอริสมันต์ อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่านายอริสมันต์ เป็นนักการเมือง ต้องมีความสำนึกในการกระทำของตนเอง มิใช่ปราศรัยใส่ความบุคคลอื่น ฝ่ายตรงข้าม หรือบุคคที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน อุทธรณ์ของนายอริสมันต์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์ เห็นพ้องด้วยพิพากษายืนจำคุกนายอริสมันต์ 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
ภายหลังนายธนเดช พ่วงพูล ทนายความนายอริสมันต์ เปิดเผยว่า ได้ยื่นประกันชั้นศาลชั้นต้นเป็นเงินสด จำนวน 2 แสนบาท และวันนี้เบื้องต้นจะเพิ่มวงเงินประกันเป็นเงินสด อีก 3 แสนบาท รวม 5 แสนบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกล่าวข้อความเท็จ ยุยง ปลุกปั่นประชาชนที่รับฟังการปราศรัย ทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง กระทั่งเหตุการณ์บานปลายทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง เป็นการมุ่งหวังทางการเมืองที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายพรรคการเมืองที่จำเลยสังกัด ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต ให้จำคุกจำเลยฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น ตามมาตรา 326 และ 328 รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน แต่ด้วยเหตุมีการกล่าวพาดพิงสถาบัน จึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ และให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์มติชน และหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์และจำเลยเป็นนักการเมือง มีอุดมการณ์แตกต่างกัน และอยู่พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม สาระสำคัญที่จำเลยพูดปราศรัยมิใช่เป็นการแสดงอุดมการณ์ทางการเมือง แต่จำเลยกล่าวปราศรัยสรุปว่าโจทก์และรัฐบาลของโจทก์มีเรื่องทุจริต ซึ่งเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต และการเมืองเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชน ประเทศชาติและบ้านเมือง จึงมิใช่แต่เพียงการนำเอาถ้อยคำที่ดุเด็ดเผ็ดมันมาพูดปราศรัยโจมตีฝ่ายตรงข้ามตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่นายอริสมันต์ อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่านายอริสมันต์ เป็นนักการเมือง ต้องมีความสำนึกในการกระทำของตนเอง มิใช่ปราศรัยใส่ความบุคคลอื่น ฝ่ายตรงข้าม หรือบุคคที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน อุทธรณ์ของนายอริสมันต์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์ เห็นพ้องด้วยพิพากษายืนจำคุกนายอริสมันต์ 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
ภายหลังนายธนเดช พ่วงพูล ทนายความนายอริสมันต์ เปิดเผยว่า ได้ยื่นประกันชั้นศาลชั้นต้นเป็นเงินสด จำนวน 2 แสนบาท และวันนี้เบื้องต้นจะเพิ่มวงเงินประกันเป็นเงินสด อีก 3 แสนบาท รวม 5 แสนบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล