ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ หรือ กรุงเทพโพลล์ ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 28 แห่ง จำนวน 64 คน เรื่อง "ความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อการเปลี่ยนกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของ ธปท." โดยพบว่า นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ ร้อยละ 78.1 เห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เสนอให้เปลี่ยนการใช้เป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) โดยไปใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) แทนการใช้กรอบเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ในปี 2558 โดยมีเพียงร้อยละ 12.5 เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย นอกจากนี้ ร้อยละ 43.8 เห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทยควรตั้งกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อทั่วไปไม่เกินร้อยละ 3.0-4.0
ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 76.6 คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.0 ในรอบการประชุมวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ โดยมีเพียงร้อยละ 7.8 ที่เห็นว่า กนง.จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ร้อยละ 6.3 เห็นว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
พร้อมกันนี้ นักเศรษฐศาสตร์ได้เสนอแนะวิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำให้กับรัฐบาล ดังนี้ อันดับ 1 เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีแผนลงทุนที่ชัดเจนอยู่แล้ว อันดับ 2 ให้ยกเลิกกฎอัยการศึก ส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียนดีขึ้นและอันดับ 3 สร้างงาน ลดรายจ่ายให้กับประชาชน เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจมากขึ้น
อันดับ 4 ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านส่งออก ให้มีความยืดหยุ่นสามารถแข่งขันได้ และอันดับ 5 กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนโดยการให้สิทธิประโยชน์ลัษณะเดียวกับบีโอไออื่นๆ ได้แก่ นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ทั้งระบบ ลดอัตราดอกเบี้ย แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น กระจายรายได้ให้เป็นธรรม และให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจระยะยาวควบคู่กับระยะสั้น
ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 76.6 คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.0 ในรอบการประชุมวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ โดยมีเพียงร้อยละ 7.8 ที่เห็นว่า กนง.จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ร้อยละ 6.3 เห็นว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
พร้อมกันนี้ นักเศรษฐศาสตร์ได้เสนอแนะวิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำให้กับรัฐบาล ดังนี้ อันดับ 1 เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีแผนลงทุนที่ชัดเจนอยู่แล้ว อันดับ 2 ให้ยกเลิกกฎอัยการศึก ส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียนดีขึ้นและอันดับ 3 สร้างงาน ลดรายจ่ายให้กับประชาชน เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจมากขึ้น
อันดับ 4 ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านส่งออก ให้มีความยืดหยุ่นสามารถแข่งขันได้ และอันดับ 5 กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนโดยการให้สิทธิประโยชน์ลัษณะเดียวกับบีโอไออื่นๆ ได้แก่ นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ทั้งระบบ ลดอัตราดอกเบี้ย แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น กระจายรายได้ให้เป็นธรรม และให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจระยะยาวควบคู่กับระยะสั้น