สหรัฐฯเร่งกดดันเหล่าชาติอาหรับในวันพฤหัสบดี (11ก.ย.) ให้เข้าร่วมการรณรงค์ซึ่งประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพิ่งประกาศในคืนวันพุธ (10) ว่าจะเผด็จศึกกลุ่ม “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ให้ราบคาบ โดยที่กองทัพอเมริกันซึ่งถล่มทางอากาศใส่นักรบญิฮัดกลุ่มนี้ในอิรักอยู่แล้ว ต่อไปนี้จะขยายเข้าไปในซีเรียด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลดามัสกัสออกมากล่าวเตือนว่า การปฏิบัติการใดๆ ในดินแดนของตนจะถือว่าเป็นการโจมตีรุกราน และรัสเซียก็ระบุว่าการทำอะไรตามอำเภอใจฝ่ายเดียวคือการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง
รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังอยู่ที่เมืองเจดดาห์, ซาอุดีอาระเบีย ได้เข้าประชุมหารือกับเหล่ารัฐมนตรีต่างประเทศจาก 10 ประเทศอาหรับและตุรกีในวันพฤหัสบดี เพื่อกดดันพวกเขาให้เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรที่อเมริกากำลังเป็นตัวตั้งตัวตีจัดตั้งขึ้น ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะต่อสู้ปราบปรามกลุ่มไอเอส โดยที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯระบุว่า ในบรรดาชาติเหล่านี้ ซาอุดีอาระเบียถือว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ ไม่เพียงเฉพาะจากขนาดของประเทศนี้ ตลอดจนความสำคัญทางเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่ยังเนื่องจากซาอุดีอาระเบียมีอิทธิพลทางศาสนาต่อชาวมุสลิมนิกายสุหนี่อีกด้วย
ความพยายามของเคร์รีคราวนี้ เป็นการสนองรับนโยบายใหม่ของประธานาธิบดีโอบามา ซึ่งได้กล่าวปราศรัยที่ทำเนียบขาว โดยมีการถ่ายทอดทีวีทั่วประเทศในช่วงไพรม์ไทม์คืนวันพุธ
“เราจะตามล่าผู้ก่อการร้ายที่ข่มขู่คุกคามประเทศของเรา ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม นี่คือหลักการสำคัญในตำแหน่งประธานาธิบดีของผม ใครก็ตามที่คุกคามอเมริกา คนเหล่านั้นจะไม่มีที่ให้หลบภัย” ผู้นำอเมริกันบอก
โอบามายังประกาศจัดส่งทหารอีก 475 คนไปช่วยฝึกกองกำลังความมั่นคงของอิรัก ทำให้จำนวนทหารอเมริกันในประเทศดังกล่าวเพิ่มเป็น 1,600 คน นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้รัฐสภาอนุมัติโครงการฝึกและติดอาวุธกบฏซีเรียที่กำลังต่อสู้ทั้งกับนักรบญิฮัดกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) และกับกองทัพรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัสซาด
ในการปราศรัย 1 วันก่อนวันครบรอบวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 คราวนี้ โอบามายืนยันว่า จะไม่ส่งทหารอเมริกันกลับไปรบในตะวันออกกลางหรือในประเทศอื่นใด แต่จะใช้วิธีติดเขี้ยวเล็บให้แก่พวกพันธมิตรท้องถิ่น เช่น กองทัพอิรัก กองกำลังชาวเคิร์ด และกบฏซีเรีย เข้าทำการรุกไล่พวกไอเอสในพื้นที่ซึ่งอเมริกาทิ้งระเบิดถล่มกรุยทางไว้ให้
พร้อมกันนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ยังย้ำว่า ไม่มีแผนเข้าร่วมกับอัสซาดเพื่อปราบปรามไอเอส เนื่องจากผู้นำซีเรียหมดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิงนับจากก่อสงครามกลางเมืองประหัตประหารประชาชนของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของอเมริกันในคราวนี้ ได้ถูกประณามอย่างรุนแรงจากรัฐบาลซีเรีย โดยที่ อาลี ไฮดาร์ รัฐมนตรีเพื่อความปรองดองแห่งชาติของซีเรียแถลงว่า “การปฏิบัติการใดๆ ไม่ว่าชนิดไหนก็ตามที ซึ่งไม่ได้รับความยินยอมเห็นชอบจากรัฐบาลซีเรียแล้ว จะถือว่าเป็นการโจมตีรุกรานต่อซีเรีย”
ส่วนรัสเซียผู้เป็นพันธมิตรของรัฐบาลอัสซาด โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อเล็กซานเดอร์ ลูกาเชวิช ได้ออกมาบอกว่า “ในสภาพที่ไม่ได้มีการตัดสินใจอย่างถูกต้องเหมาะสมจากคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น การเดินหน้าในลักษณะนี้ย่อมกลายเป็นพฤติการณ์ก้าวร้าวรุกราน เป็นการละเมิดอย่างหยาบกระด้างต่อบรรทัดฐานต่างๆ ของกฎหมายระหว่างประเทศ”
รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังอยู่ที่เมืองเจดดาห์, ซาอุดีอาระเบีย ได้เข้าประชุมหารือกับเหล่ารัฐมนตรีต่างประเทศจาก 10 ประเทศอาหรับและตุรกีในวันพฤหัสบดี เพื่อกดดันพวกเขาให้เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรที่อเมริกากำลังเป็นตัวตั้งตัวตีจัดตั้งขึ้น ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะต่อสู้ปราบปรามกลุ่มไอเอส โดยที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯระบุว่า ในบรรดาชาติเหล่านี้ ซาอุดีอาระเบียถือว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ ไม่เพียงเฉพาะจากขนาดของประเทศนี้ ตลอดจนความสำคัญทางเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่ยังเนื่องจากซาอุดีอาระเบียมีอิทธิพลทางศาสนาต่อชาวมุสลิมนิกายสุหนี่อีกด้วย
ความพยายามของเคร์รีคราวนี้ เป็นการสนองรับนโยบายใหม่ของประธานาธิบดีโอบามา ซึ่งได้กล่าวปราศรัยที่ทำเนียบขาว โดยมีการถ่ายทอดทีวีทั่วประเทศในช่วงไพรม์ไทม์คืนวันพุธ
“เราจะตามล่าผู้ก่อการร้ายที่ข่มขู่คุกคามประเทศของเรา ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม นี่คือหลักการสำคัญในตำแหน่งประธานาธิบดีของผม ใครก็ตามที่คุกคามอเมริกา คนเหล่านั้นจะไม่มีที่ให้หลบภัย” ผู้นำอเมริกันบอก
โอบามายังประกาศจัดส่งทหารอีก 475 คนไปช่วยฝึกกองกำลังความมั่นคงของอิรัก ทำให้จำนวนทหารอเมริกันในประเทศดังกล่าวเพิ่มเป็น 1,600 คน นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้รัฐสภาอนุมัติโครงการฝึกและติดอาวุธกบฏซีเรียที่กำลังต่อสู้ทั้งกับนักรบญิฮัดกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) และกับกองทัพรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัสซาด
ในการปราศรัย 1 วันก่อนวันครบรอบวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 คราวนี้ โอบามายืนยันว่า จะไม่ส่งทหารอเมริกันกลับไปรบในตะวันออกกลางหรือในประเทศอื่นใด แต่จะใช้วิธีติดเขี้ยวเล็บให้แก่พวกพันธมิตรท้องถิ่น เช่น กองทัพอิรัก กองกำลังชาวเคิร์ด และกบฏซีเรีย เข้าทำการรุกไล่พวกไอเอสในพื้นที่ซึ่งอเมริกาทิ้งระเบิดถล่มกรุยทางไว้ให้
พร้อมกันนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ยังย้ำว่า ไม่มีแผนเข้าร่วมกับอัสซาดเพื่อปราบปรามไอเอส เนื่องจากผู้นำซีเรียหมดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิงนับจากก่อสงครามกลางเมืองประหัตประหารประชาชนของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของอเมริกันในคราวนี้ ได้ถูกประณามอย่างรุนแรงจากรัฐบาลซีเรีย โดยที่ อาลี ไฮดาร์ รัฐมนตรีเพื่อความปรองดองแห่งชาติของซีเรียแถลงว่า “การปฏิบัติการใดๆ ไม่ว่าชนิดไหนก็ตามที ซึ่งไม่ได้รับความยินยอมเห็นชอบจากรัฐบาลซีเรียแล้ว จะถือว่าเป็นการโจมตีรุกรานต่อซีเรีย”
ส่วนรัสเซียผู้เป็นพันธมิตรของรัฐบาลอัสซาด โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อเล็กซานเดอร์ ลูกาเชวิช ได้ออกมาบอกว่า “ในสภาพที่ไม่ได้มีการตัดสินใจอย่างถูกต้องเหมาะสมจากคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น การเดินหน้าในลักษณะนี้ย่อมกลายเป็นพฤติการณ์ก้าวร้าวรุกราน เป็นการละเมิดอย่างหยาบกระด้างต่อบรรทัดฐานต่างๆ ของกฎหมายระหว่างประเทศ”
