xs
xsm
sm
md
lg

สรุปผลการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดือนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การบริหารราชการแผ่นดินของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ในห้วงระยะเวลา 2 เดือน เป็นการปฏิบัติตามแนวทางขับเคลื่อนประเทศไทย หรือ โรดแมป ระยะที่ 1 โดยการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่เกิดขึ้น ก่อนที่ คสช.เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินให้ประเทศสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ต่อไป และเพื่อเตรียมการเข้าสู่โรดแมป ระยะที่ 2 ในกรอบเวลา 2-3 เดือน ซึ่ง คสช.ได้พบปัญหาที่ต้องแก้ไขหลายปัญหาด้วยกัน อาทิ การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การพนัน ยาเสพติด การลักลอบตัดไม้ทำลายป่า การปราบปรามอาวุธสงคราม การปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลต่างๆ การดูแลผู้ประกอบการรถรับจ้าง ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ขบวนการลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าว

รวมถึงมาตรการชั่วคราว ในการแก้ไขปัญหาปากท้องค่าครองชีพ การช่วยเหลือเกษตรกร การปรับปรุงกฎหมาย และกฎระเบียบ เพื่อปลดล็อกปัญหาอุปสรรคในด้านการค้า การลงทุน โดยทุกมาตรการรับฟังความเห็น และข้อเสนอแนะจากทั้งข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้ผลการดำเนินการเป็นไปตามความคาดหวังของประชาชน และเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ภารกิจทั้งหมดดำเนินการผ่านการปฏิบัติงานที่แบ่งเป็น 3 กลุ่มงาน คือ กลุ่มงานบริหารราชการแผ่นดิน กลุ่มงานรักษาความสงบเรียบร้อย และกลุ่มงานสร้างความปรองดองและการปฏิรูป กลุ่มงานบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ฝ่าย และ 1 ส่วนงาน ต่างเดินหน้าปฏิบัติตามนโยบายที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ได้มอบหมายให้ทุกฝ่ายรีบดำเนินการแก้ไขปัญหาที่สะสมมานาน ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และมีประสิทธิผลสูงสุด ดังนี้

1. ฝ่ายความมั่นคง โดย พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้า และ พล.อ.อักษรา เกิดผล เสนาธิการทหารบก เป็นรองหัวหน้า ยังเดินหน้าปฏิบัติการสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ ด้วยการบูรณาการการทำงานที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ในทุกด้าน ทั้งฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายสังคมจิตวิทยา หรือฝ่ายอื่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเห็นต่างทางการเมือง จนนำไปสู่ความแตกแยก การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เน้นเรื่องผลกำไร รวมทั้งเรื่องแรงงานราคาถูก โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับทุกภาคส่วน ทั้งข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ประชาชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม นิสิต นักศึกษาที่ต้องมีจิตสำนึก และมีความรับผิดชอบที่จะช่วยกันทำให้ประเทศชาติปลอดภัย ควบคู่ไปกับการชี้แจงทำความเข้าใจกับนานาชาติถึงสถานการณ์และแนวทางของ คสช. รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์

ซึ่งจากการที่หัวหน้าฝ่ายต่างๆ ได้พบปะพูดคุยกับเอกอัครราชทูต สภาหอการค้า และกลุ่มผู้ประกอบการต่างๆ ของต่างประเทศ อาทิ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน ระหว่างหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง กับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ซึ่งได้ผลตอบรับทางที่ดี โดยมีความเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และยืนยันถึงความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ คสช. แก้ไขปัญหาเหล่านั้น ส่งผลให้สื่อต่างประเทศนำเสนอข่าวเกี่่ยวกับสถานการณ์ของไทยในเชิงบวกมากขึ้น เห็นได้จากการจัดกิจกรรมระหว่างประเทศ เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงจากภาคส่วนต่างๆ มีโอกาสเดินทางมาสัมผัสกับประเทศไทยด้วยตนเอง เช่น การเป็นเจ้าภาพประชุมระดับรัฐมนตรีแห่งอาเซียน ในการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติครั้งที่ 6 มีผู้แทนทั้งระดับรัฐมนตรี และอธิบดีมาร่วมประชุมถึง 63 ประเทศ

ส่วนความสัมพันธ์ระดับกองทัพไทยกับมิตรประเทศนั้น ผู้นำกองทัพมิตรประเทศ โดยเฉพาะประเทศในอาเซียน ล้วนมีท่าทีสนับสนุนกองทัพไทย อาทิ กองทัพอินเดีย ได้เชิญ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะรองหัวหน้า คสช. ไปเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ และการเตรียมจัดการฝึกประจำปีของกองทัพไทย ภายใต้รหัสการฝึก พิราบ และการฝึกพีชแบค ซึ่งจะจัดขึ้นช่วงกรกฎาคม ถึงสิงหาคมนี้

ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาได้แสดงความประสงค์ที่จะมีการร่วมผสมคอบบร้าโกลด์ 2015 ในไทยต่อไป และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ฝ่ายความมั่นคงได้จัดประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการเตรียมความพร้อมประเทศไทย ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อวางแผนดำเนินงานในระยะเฉพาะหน้า ระยะเร่งด่วน และระยะยาว โดยมีลักษณะเป็นซิงเกิลคอมมานด์ และมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อน 3 เสาหลัก ได้แก่ คณะอนุกรรมการด้านการเมือง และความมั่นคง คณะอนุกรรมการด้านสังคม และวัฒนธรรม คณะอนุกรรมการด้านเศรษฐกิจ และคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ ซึ่งทำงานเกื้อกูลกันเพื่อขับเคลื่อน และเร่งรัดการดำเนินงานที่หยุดชะงัก รวมทั้งเตรียมการแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องตามนโยบายของหัวหน้า คสช.

สำหรับการดูแลและให้บริการประชาชน ได้ร่วมกับกระทวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงาน เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบาย คสช.เป็นไปอย่างรวดเร็ว และเป็นรูปธรรม โดยยังสานงานต่อจาก 1 เดือนแรก ที่ให้ความสำคัญกับการให้บริการ และดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียมกัน รวมถึงการดำเนินการกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งต่อสถาบันสำคัญของชาติ การป้องกันการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า และทรัพยากรธรรมชาติ การเล่นการพนัน การติดตามทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย การแก้ปัญหาการทุจริต การแพร่ระบาดของยาเสพติด และอาวุธสงคราม โดยสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นผลงานได้อย่างชัดเจน เกิดการแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ที่ดำเนินการจัดตั้งศูนย์บริการจดทะเบียนแรงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อนำแรงงานผิดกฎหมายมาจดทะเบียนให้สามารถตรวจสอบ และดูแลได้ ตามหลักมนุษยธรรมแล้ว 8 จังหวัด โดยสัปดาห์นี้ จัดตั้งศูนย์บริการจดทะเบียนจำนวน 6 ศูนย์ ในกรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้ ยังให้ผู้ประกอบการกิจการเรือประมงที่มีแรงงานต่างด้าวทำงานอยู่ จัดทำบัญชีรายชื่อ สัญชาติ และจำนวน แจ้งกับแรงงานจังหวัด และจะขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้า และจะมีการจัดชุดออกตรวจแรงงาน นายจ้าง และผู้ประกอบการอย่างจริงจัง

2. ฝ่ายเศรษฐกิจ โดย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นหัวหน้า และ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นรองหัวหน้า ยังคงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ทั้งระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งระยะสั้น ได้เร่งรัดดูแลเรื่องค่าครองชีพ และราคาสินค้า โดยการให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง จัดโครงการธงฟ้าราคาประหยัด มีการจัดอาหารสำเร็จรูป และสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพมาจำหน่ายในราคาถูกให้กับประชาชนรวม 21 ครั้ง สามารถลดค่าครองชีพให้กับประชาชน คิดเป็นมูลค่ากว่า 27 ล้านบาท

พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการ และห้างค้าปลีก ค้าส่ง กว่า 1,000 ราย ตรึงราคาสินค้าที่จำเป็น จำนวน 205 รายการ เป็นเวลา 6 เดือน รวมทั้งขอความร่วมมือให้ลดราคาจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จที่ประชาชนนิยมบริโภค 10 รายการ อยู่ที่จานละ 35-40 บาท ส่วนปัญหาผลผลิตทางการเกษตร คสช.ได้อนุมัติงบประมาณ 163 ล้านบาท เพื่อกระจายผลไม้ที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาดนอกแหล่งผลิต แยกเป็นลำไยจาก 8 จังหวัดภาคเหนือ จำนวน 74.5 ล้านบาท เงาะ และลองกอง จากภาคตะวันออก จำนวน 51 ล้านบาท มังคุด และลองกองจากภาคใต้ จำนวน 37.5 ล้านบาท

ส่วนปัญหาราคายางพารานั้น ได้กำหนดแผนดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือระยะสั้น ได้อนุมัติงบประมาณกว่า 6,160 ล้านบาท ให้กับเกษตรกร 112,253 ราย เพื่อช่วยเหลือปัจจัยการผลิต ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ ในอัตราไร่ละ 2,520 บาท เฉพาะที่เปิดกรีดแล้ว ขณะที่ระยะยาวจะสนับสนุนให้มีการเพิ่มการใช้ยางพาราในประเทศควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งยังใช้มาตรการสร้างเสถียรภาพราคายางยั่งยืน โดยการสนับสนุนสินเชื่อผ่อนปรนให้แก่สถาบัน เกษตรกร และผู้ประกอบการแปรรูปยางพารา การเปิดตลาดใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการกำหนดพื้นที่เหมาะสมในการปลูกยาง หรือ โซนนิ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน คสช.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผลผลิตทางการเกษตรให้กระจายอยู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเชื่อมต่อการดำเนินงานของทุกหน่วยงานให้มีการบูรณาการในการติดตาม กำกับดูแลทุกมาตรการให้มีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ขณะเดียวกัน ยังช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก และสามารถเสนอแนะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับปัญหาข้าวนั้น ภายหลังการปลดล็อกปัญหาโครงการจำนำข้าวเปลือก ปีการปลิต 2556/2557 สำเร็จ คสช. ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวที่มีหัวหน้า คสช.เป็นประธานกรรมการ ได้กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาข้าวให้เป็นไปอย่างยั่งยืน และมีการบูรณาการโดยเน้นการเพิ่มผลผลิตและมูลค่าข้าวให้สามารถแข่งขันกับตลาดได้มากขึ้น โดยแบ่งกรอบเวลาดำเนินการเป็น 3 ระยะ คือ แก้ปัญหาระยะสั้น เร่งดำเนินการช่วยเหลือชาวนา ช่วงการผลิตข้าวนาปี ปี 2557/2558 ให้มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วยการช่วยลดต้นทุนการผลิต และสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกร เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การแก้ปัญหาระยะกลาง ซึ่งต้องใช้เวลา 1-3 ปี จะมุ่งหาแนวทางการปลูกข้าวมีต้นทุนต่ำ และผลผลิตต่อไร่สูง ทั้งการพัฒนาคุณภาพข้าว เพื่อให้เกษตรกรมีกำไรจากการขายข้าวเปลือก และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก พร้อมเป็นการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558

สำหรับการระบายข้าว จะไม่เร่งระบายข้าวเร็ว จนทำให้เสียราคา และการกำหนดราคาต้องให้เป็นไปตามกลไกตลาด สุดท้ายคือ การแก้ปัญหาระยะยาว ซึ่งต้องใช้เวลามากกว่า 3 ปีนั้น การแก้ปัญหาต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเป็นระบบ โดยกำหนดเขตพื้นที่ปลูกข้าว หรือโซนนิ่ง ให้เหมาะสมกับเมล็ดพันธุ์ข้าว และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด การส่งเสริมการตลาดเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาข้าว ให้เป็นไปตามกลไกตลาด การส่งเสริมการมีส่วนร่วม และที่สำคัญคือ ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และปลูกพืชทดแทน เพื่อแก้ปัญหาให้เกษตรกรอย่างแท้จริง และยั่งยืน โดยไม่ต้องใช้งบประมาณของภาครัฐบาลอุดหนุน

และเพื่อเป็นการฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน คสช.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งตะวันออก หรือ อีสต์เทิร์นซีบอร์ด และคณะกรรมการขับเคลื่อนความพร้อมเข้าสู่อาเซียน รวมทั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ซึ่งจากการประชุม บีโอไอ ที่ผ่านมา มีการอนุมัติโครงการแล้วเกือบ 100 โครงการ มูลค่าการลงทุนเกือบ 2 แสนล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างทบทวนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต โดยสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการร่วมประชุม ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อรับฟังข้อมูลแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกลุ่มนักลงทุน ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ รวมทั้งเอกอัครราชทูตประเทศ ที่ประจำการในประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนด้วย ล่าสุด คสช. เห็นชอบตามที่กรมสรรพากรเสนอร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน 3 ฉบับ คือ ขยายระยะเวลาการบังคับใช้บัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 7 ขั้น การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล เหลือร้อยละ 20 และการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม เหลือร้อยละ 7 ที่จะสิ้นสุดในปี 2557 เป็นสิ้นสุดปี 2558 ซึ่งจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้การบริโภคและการลงทุนขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ส่วนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ที่ คสช.แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยมี พล.อ.ฉัตรชัย ทำหน้าที่กำหนดนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเรื่องน้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตร รวมถึงการดูแลคุณภาพน้ำ ล่าสุด มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 5 กลุ่ม เพื่อให้การวางแผนและดำเนินการเป็นไปตามระบบลุ่มน้ำ และเป็นลุ่มน้ำที่เชื่อมโยงกัน และสามารถนำน้ำต้นทุนมาบริหารจัดการแบ่งปันกันได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ โดยกำหนดโรดแมปในการดำเนินการไว้ 3 ระยะ คือ ระยะแรก จัดทำโครงร่างแผนงานโครงการตามความรับผิดชอบของคณะอนุกรรมการ 5 กลุ่ม กำหนดเวลาให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2557

ระยะที่ 2 เป็นการจัดทำร่างแผนบริหารจัดการน้ำ แนวทางดำเนินการ และมาตรการแก้ปัญหากำหนดเวลาให้แล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2557 ระยะที่ 3 การจัดทำแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฉบับสมบูรณ์ ประกอบด้วย แผนงาน โครงการ และงบประมาณ กำหนดเวลาให้เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม 2557 ก่อนเสนอให้หัวหน้า คสช.พิจารณา และอนุมัติเป็นแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน และจะสามารถแถลงแผนดังกล่าวได้ภายใน สิ้นเดือนตุลาคม 2557

3. ฝ่ายกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม โดย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้า และ พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เป็นรองหัวหน้า รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้อง และผลกระทบที่เกิดจากข้อกฎหมายต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงาน อำนวยความสะดวกให้ประชาชน ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และการลดความเห็นต่าง โดยตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ฝ่ายกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ได้เดินหน้าแก้ไขโครงสร้างของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ซึ่ง คสช.มุ่งเน้นแก้ไขกฎหมายด้านต่างๆ ให้สามารถปราบปรามการทุจริตภาครัฐ การปราบปรามยาเสพติด และปราบปรามกระบวนการค้ามนุษย์ให้สะดวกยิ่งขึ้น โดยดำเนินการไปพร้อมกับผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตประชาชน และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

ที่ผ่านมา ผลักดันกฎหมายให้มีผลบังคับใช้แล้วจำนวน 11 ฉบับ เช่น การเพิ่มเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับที่รับเงินต่ำกว่าเดือนละ 9,000 บาท และการขยายการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งเสนอร่างกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง ให้เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวาระแรก รวม 5 ฉบับ เช่น ร่างพระราชบัญญัติการทวงหนี้ และร่างแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อคุ้มครองสิทธิของลูกหนี้ และผู้ค้ำประกัน เป็นต้น

ส่วนผลงานในภาคปฏิบัติ นโยบายสำคัญที่เร่งเดินหน้าคือ การปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด โดยหลังจากหัวหน้าฝ่ายกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมได้ร่วมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 15 กระทรวง มีความเห็นร่วมกัน ให้เร่งรัด 6 มาตรการ เพื่อปราบปรามและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด อาทิ การเพิ่มความเข้มข้นในการสกัดกั้นและปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด การจัดระเบียบสถานบริการและสถานประกอบการ การสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด การยึดและอายัดทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้องทั้งระบบเป็นต้น

ทั้งนี้ มีการประเมินผลครั้งแรกใน 30 วัน ซึ่งผลจากการบูรณาการหน่วยงานความมั่นคง ทั้งทหาร ตำรวจ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. สายงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. และภาคอื่นๆ ทำให้สามารถติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด ทั้งรายย่อย และรายใหญ่ได้ 49,386 คดี ผู้กระทำความผิด 52,200 คน ของกลางยาบ้า 10,677,741 เม็ด ยาไอซ์ 246.40 กิโลกรัม กัญชา 1,106 กิโลกรัม ยึดและอายัดทรัพย์สินได้มูลค่า 305.28 ล้านบาท จับกุมเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 32 คน

ขณะที่ในส่วนเรือนจำ หลังดำเนินการย้ายนักโทษคดียาเสพติดที่เสี่ยงต่อการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด 415 คน ไปคุมขังที่เรือนจำกลางเขาบิน จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นเรือนจำที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูงสุดแล้ว ยังกำหนดให้แต่ละเรือนจำ และทัณฑสถานเอกซเรย์เจ้าหน้าที่ทุกนาย ตามโครงการเจ้าหน้าที่สีขาว ซึ่งต้องไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกประเภทด้วย โดยทุกแห่งต้องดำเนินให้เห็นผลใน 30 วัน

นอกจากนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. ยังส่งบัญชีที่ต้องสงสัยเกี่ยวกับการกระทำผิดมาให้ คสช.ตามที่ได้ขอความร่วมมือไว้ รวม 470 บัญชี แบ่งเป็น บัญชีความผิดแก๊งคอลเซนเตอร์ 324 บัญชี บัญชีเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงภาษี 112 บัญชี บัญชีการค้ายาเสพติด 20 บัญชี และบัญชีเกี่ยวกับคดีฉ้อโกง รวมทั้งอินเตอร์เน็ต 14 บัญชี และนอกจากการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาต ยังเดินหน้าปราบปรามอาวุุธสงคราม ตามนโยบายของ คสช.อย่างเข้มข้น และต่อเนื่อง อาทิ การจับกุมผู้ต้องหา พร้อมอาวุธสงครามจำนวนมาก อาทิ อาวุธปืนอาก้า M16 ระเบิด และกระสุนนับพันนัด และการจับกุมผู้ต้องหายิงระเบิด M79 เข้าใส่บริเวณพื้นที่ชุมนุมหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ราชดำริ มีผู้เสียชีวิต 3 ราย พร้อมของกลางเป็นเครื่องยิง ทั้งลูกระเบิดแบบ M79 อาวุธปืน M16 และลูกระเบิดอีกนับสิบลูก ซึ่งของกลางทั้งหมดอยู่ในสภาพใช้งาน สามารถใช้ยิงทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินได้

4. ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดย พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นหัวหน้า และ พล.ท.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นรองหัวหน้า รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาที่ทำให้สังคมไทยอ่อนแอ ซึ่งนอกจากการจัดกิจกรรมคืนความสุขให้กับคนในชาติรูปแบบต่างๆ ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ดีแล้ว ฝ่ายสังคมจิตวิทยาได้เร่งขับเคลื่อนงานทุกด้าน โดยด้านสิ่งแวดล้อมได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาขยะและมลพิษ หลังเกิดเหตุไฟไหม้พื้นที่กำจัดขยะหลายครั้ง และหลายพื้นที่ที่มีกองขยะตกค้างสะสม ทำความเดือดร้อนแก่สุขภาพอนามัยของประชาชน จึงทำโรดแมปและแผนปฏิบัติการทั้งระยะเร่งด่วน ระยะสั้น ระยะยาว จนเสร็จเรียบร้อย ขณะนี้อยู่ระหว่างทบทวน และเสนอให้ คสช.พิจารณา

โดยแผนปฏิบัติงานที่จัดทำขึ้น ได้มีการบูรณาการ การบริหารจัดการขยะในภาพรวม การคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง การกำจัดแบบรวมศูนย์ การเลือกวิธีการกำจัดขยะที่เหมาะสม และการนำขยะมาใช้ประโยชน์ เช่น แปรรูปผลิตไฟฟ้า ส่วนการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ นอกจากมอบหมายให้กระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำโรดแมป การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุก ทำลายป่าไม้แล้ว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จับกุมผู้กระทำความผิด พร้อมของกลางจำนวนมาก ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาคดีทำลายทรัพยากรป่าไม้ได้ทั้งหมด 123 คดี ผู้ต้องหา 125 คน ยึดของกลางไม้พะยูง ไม้ชิงชัน และไม้ประดู่ คิดเป็นปริมาตร 261,574 ลูกบาศก์เมตร มูลค่าส่งออกกว่า 260 ล้านบาท รถยนต์ที่ใช้กระทำความผิด 25 คัน รถจักรยานยนต์ 9 คัน เลื่อยโซ่ยนต์ 14 เครื่อง รถไถนา 1 คัน พร้อมอายัดทรัพย์เครือข่ายลักลอบตัดไม้พะยูงข้ามชาติมูลค่ากว่า 88 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังเดินหน้าทวงผืนป่าคืนแผ่นดิน ตามนโยบาย คสช.อย่างจริงจัง จนพบว่า มีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่สระบุรี นับพันไร่ เพื่อสร้างรีสอร์ท พร้อมจับกุมผู้เกี่ยวข้องดำเนินคดี และล่าสุด ร่วมกันเปิดยุทธการลุยผู้บุกรุกอุทยานแห่งชาติ จ.ภูเก็ต เพื่อทวงคืนผืนป่า 2,743 ไร่ มูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนกรณีนี้แล้ว โดยแบ่งที่เชิญมาไต่สวน 4 กลุ่ม คือข้าราชการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้าราชการสังกัดกรมที่ดิน และกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน

ส่วนด้านการศึกษา มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ ศึกษารวบรวมข้อมูลและระดมความคิดเห็นจากหลายภาคส่วนในการจัดทำโรดแมป การปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาคนระยะยาว โดยประเด็นสำคัญที่จะมีการปฏิรูป นอกจากการผลิตบุคลากรครู หรือบุคลากรทางการศึกษาที่จะมาเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชน ตลอดจนศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาแก่โรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ และโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลแล้ว ยังมีการปรับปรุงหลักสูตรให้เพิ่มวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง และศีลธรรม โดยแยกจากสังคมศึกษา ให้มีการความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ภาคภูมิใจในความเป็นไทย ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีจิตสำนึกความรับผิดชอบ เห็นประโยชน์ประเทศชาติมากกว่าส่วนตัว โดยเริ่มใช้ภาคการศึกษาหน้า

นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรม นำนโยบายการสร้างค่านิยมของคนไทย 12 ประการ ตามนโยบายหัวหน้า คสช. ไปสู่การปฏิบัติ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้บรรจุค่านิยมของคนไทย 12 ประการ ให้อยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว ขณะที่กระทรวงวัฒนธรรม จะรับผิดชอบการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างเสริมค่านิยมไทย ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย และในฐานะเสาประชาสังคม และวัฒนธรรม ฝ่ายสังคมจิตวิทยา ได้เตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ด้วยการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านประชาคมสังคม และวัฒนธรรมอาเซียน ปี 2557-2559 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีทิศทาง และรูปแบบการดำเนินการเป็นไปตามแผนงานการจัดตั้งประชาคม สังคม และวัฒนธรรมอาเซียน นอกจากนี้ เสริมสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาคมถึงการจัดตั้งประชาคมสังคม และวัฒนธรรมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยการส่งเสริมให้มีตัวแทนอาเซียนภาคประชาชน เสนอแนะความต้องการ ควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้ ตลอดจนมีส่วนร่วมในการสร้างประชาคมอาเซียนให้กับอาสาสมัครพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ สภาเด็ก และเยาวชนทุกระดับเพื่อพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนต่อไป

5. ฝ่ายกิจการพิเศษ โดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นหัวหน้า มีพล.อ.สุชาติ หนองบัว เป็นรองหัวหน้า เตรียมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา 12 สิงหาคม 2557 ซึ่งคณะกรรมการอำนวยการจัดการเฉลิมพระเกียรติ มีหัวหน้า คสช. เป็นประธานกรรมการ เห็นชอบจัดกิจกรรมหลัก 4 กิจกรรม ประกอบด้วย

(1) กิจกรรมเผยแพร่ระเกียรติคุณ จัดสร้างภาพยนต์เฉลิมพระเกียรติ เป็นภาพยนตร์สารคดี 2 เรื่อง คือเรื่องทศวรรษแรกของการทรงงาน กับเรื่องชัยชนะบนแผ่นดินอีสาน เป็นภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ 2 เรื่อง คือ เรื่องด้วยรัก กับเรื่องเสียงจากแดนใต้
(2) กิจกรรมโครงการสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เนื่องในโอกาสพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 3 กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2557 โดยภาครัฐและเอกชน ณ บริเวณสวนอัมพร ลานพระราชวังดุสิต และท้องสนามหลวง รวมถึงกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในส่วนภูมิภาคทุกจังหวัด 4 พิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณท้องสนามหลวง วันที่ 12 สิงหาคม 2557 นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติอื่นๆ อาทิ การลงนามถวายพระพร

ส่วนการแกัปัญหาเรื่องร้องทุกข์ของประชาชนผ่านช่องทางร้องเรียน 1111 นั้น ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา มีประชาชนร้องทุกข์และแสดงความคิดเห็น 26,024 เรื่อง แก้ปัญหาได้ 22,497 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 86.45 และอยู่ระหว่างดำเนินการ 3,527 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสังคม และสวัสดิการมากที่สุด ส่วนเรื่องที่ประชาชนเสนอความคิดเห็นการปฏิรูปมากที่สุด คือการปฏิรูปประเทศ การปฏิรูประบบราชการ การปรองดองสมานฉันท์ และการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

นอกจากนี้ จะมีการปรับปรุงพื้นที่ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่มายื่นข้อร้องเรียน และเร่งรัดกระบวนการติดตามและแก้ไขปัญหาให้รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมแจ้งผลการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนทราบโดยเร็ว นอกจากการรับเรื่องราวร้องทุกข์ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนผู้บริโภาคเป็นเรื่องที่ประชาชนคาดหวังสูง ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าวนั้น คสช.ได้ยกระดับและขับเคลื่อนการคุ้มครองผู้บริโภคของไทยให้ครอบคลุมทุกประเด็น โดยช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา ได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนที่มีการรับเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 1590 เรื่อง แก้ไขสำเร็จ 158 เรื่อง อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ย 1,317 เรื่อง ที่เหลือจำนวน 145 เรื่อง อยู่ในขั้นตอนการกลั่นกรอง

สำหรับเรื่องที่มีการร้องเรียนมากที่สุดคือ ปัญหาเรื่องรถยนต์ ผู้ประกอบการท่องเที่ยว อาคารชำรุด สินค้าและบริการ ตามลำดับ ส่วนการแก้ปัญหากลุ่มผู้ค้าแผงลอยตลาดโบ๊เบ๊นั้น ภายหลังจากการประชุมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจนครบาล กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และตัวแทนกลุ่มผู้ค้าแผงลอยตลาดโบ๊เบ๊ เพื่อร่วมกันจัดระเบียบ ที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานกลุ่มย่อยขึ้นมาแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งการดำเนินงานในขั้นต้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทำให้การจราจรมีความคล่องตัวมากขึ้น ประชาชนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น

ส่วนการจัดระเบียบในระยะยาว กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการตามแผนการจัดระเบียบ ประกาศให้มีการลงทะเบียนผู้ประกอบการ และเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

สำหรับส่วนงานที่เป็นหน่วยขึ้นตรงกับหัวหน้า คสช. โดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช. และ พล.ท.ชาตอุดม ติตถะสิริ เป็นรองเลขาธิการ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานต่างๆ ของ คสช. รวมถึงการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนต่างๆ ของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นปัญหาปากท้องของประชาชนจากการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานต่างๆ ของ คสช. พบว่าส่วนใหญ่มีความคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการในเรื่องการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมสำคัญตามนโยบาย จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาคดีสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีสถานการณ์การชุมนุมและคดีที่มีการใช้อาวุธสงครามก่อเหตุ

ส่วนการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนให้แก่ประชาชน และการปรับปรุงโครงสร้างการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความเป็นเอกภาพ มีประสิทธิภาพและรวดเร็วตามแนวทาง "พื้นที่ปลอดเหตุ ประชาชนปลอดภัย" พบว่า สถิติการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา เช่น เดือนมิถุนายน 2556 เกิดจำนวน 141 ครั้ง เดือนมิถุนายนปีนี้เกิด 102 ครั้ง เป็นต้น

เมื่อ คสช.ได้จัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ขึ้นทั่วประเทศในทุกระดับมาตั้งแต่ 28 พฤษภาคม 57 เพื่อยุติความเห็นต่างและสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดองสมานฉันท์ ด้วยการจัดกิจกรรมคืนความสุขให้กับประชาชน และการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เสนอความต้องการในการปฏิรูปประเทศแล้วเสร็จใน 30 กรกฎาคมนี้ ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ สังเกตได้จากสถานการณ์ความขัดแย้งได้ลดลงจำนวนมาก แนวโน้มทางเศรษฐกิจดีขึ้น ครอบครัวที่เห็นต่างกันก็กลับมาคุยกัน ทำให้ปัญหาที่เคยหมักหมมมาค่อยคลี่คลายไป และสำหรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ที่ คสช.มีมติให้ความเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 จำนวน 2,575,000 ล้านบาท โดยเป็นนโยบายขาดดุล จำนวน 250,000 ล้านบาท รายได้สุทธิจำนวน 2,325,000 ล้านบาท งบประมาณ เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 จำนวน 50,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.0 นั้น คาดว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะดำเนินการพิจารณาภายในห้วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนนี้ และจะนำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายในวันที่ 15 กันยายน 2557 และสามารถประกาศใช้ได้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2557

ส่วนการเปรียบเทียบการเบิกจ่ายงบประมาณ ภายหลังจาก คสช. เข้ามาบริหารประเทศหน่วยงานต่างๆ มีความชัดเจนในการดำเนินงาน ทำให้การเบิกจ่ายเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 240,363 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.5

ในส่วนของกลุ่มงานรักษาความสงบเรียบร้อย ยังคงมีความจำเป็นต้อง เชิญบุคคลที่อยู่ในความขัดแย้ง ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมเข้ารายงานตัวเพื่อสร้างความเข้าใจ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อความมั่นคงของประเทศ และประชาชนในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดี และในช่วงเดือนที่ 2 นี้จะเห็นได้ชัดเจนว่า ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศลดความกังวลลง กลับมาใช้ชีวิตตามปกติสุข ขณะที่ธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการกลับมามีความคล่องตัวดังเดิม อย่างไรก็ตาม คสช.ยังจําเป็นต้องเตรียมความพร้อมไว้ตลอดเวลา

ส่วนการจัดระเบียบรถบริการขนส่งสาธารณะ คสช.ได้ดำเนินการจัดระเบียบรถรับจ้างหรือรถบริการขนส่งสาธารณะ โดยส่วนของรถตู้มีการจัดระเบียบไม่ให้จอดรถที่บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิซึ่งกีดขวางการจราจร และเคลื่อนย้ายจุดจอดไปยังสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์

สำหรับการจัดระเบียบวินมอเตอร์ไซด์มีการขจัดผู้มีอิทธิพลที่แสวงหาประโยชน์จากวินเถื่อน และจัดให้มีการจดทะเบียนวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างให้เกิดความถูกต้อง สำหรับการจัดระเบียบรถแท็กซี่ ต้องไม่ให้เอาเปรียบผู้โดยสารโดยคิดเกินกว่าอัตราค่าเดินทางจริงอย่างเข้มงวด สำหรับการดำเนินการได้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะแรกคือการบังคับใช้กฎหมายและจัดระเบียบอย่างเข้มงวด ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 คือการแก้ไขปัญหาอย่างถาวร รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกันสภาพปัญหาต่อไป

สำหรับกลุ่มงานสุดท้ายคือ กลุ่มงานสร้างความปรองดอง และการปฏิรูป โดย พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม รับผิดชอบมีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป มีพล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ เป็นหัวหน้า และคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ มีหน้าที่กำหนดแนวทางในการเสริมสร้างบรรยากาศความปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งได้เดินหน้ารวบรวมข้อมูล ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากประชาชนทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เพื่อเสริมสร้างความรักความสามัคคีและคืนความสุขแก่คนในชาติอย่างยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถจัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปจังหวัดครบทุกจังหวัดในเดือนแรก

เดือนที่ 2 ได้รวบรวมและจัดทำหัวข้อการรับฟังความคิดเห็นจากส่วนต่างๆ อาทิ ผลงานที่มีอยู่เดิม งานวิจัย วิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง ส่วนราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม และองค์กรอิสระต่างๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะของประชาชนจากทั่วประเทศนำมาสังเคราะห์ เพื่อให้ได้หัวข้อการรับฟังความคิดเห็น โดยคณะทำงานได้รวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วน ทางช่องทางโทรศัพท์,จดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือ e-mail ไปรษณียบัตร จำนวน 2,787 เรื่อง รวมทั้งได้สังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัย จำนวน 418 เรื่อง จากข้อมูลดังกล่าวคณะทำงานฯ ได้สรุปประเด็นในการปฏิรูปขั้นต้น โดยพิจารณาจาก ความสำคัญและความเร่งด่วนได้ 11 ประเด็น อาทิ การขจัดปัญหาทุจริตคอรัปชั่น การเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน กระบวนการยุติธรรม พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคม เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังได้จัดสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีประสบการณ์และผู้เชี่ยวชาญ ทั้งส่วนราชการ นักวิชาการ ผู้แทนพรรคการเมือง ภาคธุรกิจ องค์กรอิสระ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กลุ่มเห็นต่าง รวมถึงภาคประชาชนอื่นๆ รวม 53 ครั้ง จัดการประชุมกลุ่มย่อย 5 ครั้ง ครั้งละ 50-80 คน และจัดเสวนา 3 ครั้ง โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวประมาณ 2,000 คน เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดของแนวความคิดเห็นเพิ่มเติมใน 11 ประเด็น และจากการรวบรวมผลการรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำไปจัดทำ "กรอบความเห็นร่วม" ในประเด็นการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน สรุปได้ว่าการปฏิรูปการเมืองมีอยู่ 4 เรื่อง คือ โครงสร้างทางการเมือง การคัดสรรบุคคลดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ปราศจากการครอบงำจากนายทุนพรรคการเมือง กระบวนการถ่วงดุลอำนาจการบริหาร และกระบวนการถอดถอนบุคคลดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ส่วนของการปฏิรูปเพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นมีแนวทางสำคัญรวม 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการป้องกัน ด้านการปราบปราม ด้านโปร่งใส และด้านเป็นธรรม ซึ่งผลสรุปดังกล่าวจะสามารถรายงานให้ คสช. ทราบ เพื่อนำไปพิจารณาใช้ได้ในสิ้นเดือนนี้

ส่วนผลงานที่สำคัญสามารถทำให้กลุ่มคู่ขัดแย้งกลับมาสามัคคีและร่วมมือร่วมใจกันเดินหน้าประเทศไทยอีกครั้ง ผ่านการจัดกิจกรรมลักษณะเสริมสร้างบรรยากาศปรองดองสมานฉันท์ โดยศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปของ กอ.รมน. ภาค 1-4 จนถึงขณะนี้ รวมกิจกรรมทั้งหมด 84,252 ครั้ง และได้จัดทำ MOU ระหว่างผู้นำทางความคิดที่เคยเห็นต่างกันในแต่ละพื้นที่มาแล้วกว่า 177 ฉบับ ครอบคลุมกว่า 403 แกนนำ กว่า 3,003 จังหวัดถึงระดับตำบล และเวทีเสวนาจัดแล้ว 176 เวที ครอบคลุมกว่า 30,842 หมู่บ้าน

หากพิจารณาจากปรากฏการณ์ที่เห็นได้จากสังคม ถึงแนวทางการขับเคลื่อนประเทศของ คสช. แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าสถานการณ์และปัญหาในด้านต่างๆ ได้เริ่มคลี่คลายลงตามลำดับ หลังได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชน โดยเฉพาะการจัดระเบียบสังคม และสิ่งผิดกฎหมาย ที่มีการดำเนินการอย่างเฉียบขาด อย่างไรก็ตาม ปัญหาต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการจัดการแก้ไขนั้น เป็นปัญหาที่สะสมมายาวนาน ซึ่งหลายปัญหาต้องใช้ระยะเวลาในการสะสาง และหลายปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย คสช. เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน และสิ่งที่สำคัญที่สุดอันเป็นเจตนารมณ์ของ คสช. คือการคืนความสุขให้กับประชาชน โดยการลดความหวาดระแวง ความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ลดการทุจริตคอรัปชั่น สร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้ได้โดยเร็ว พร้อมกับนำทุกปัญหาที่มีผลกระทบโดยเร่งด่วนกับความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน การสร้างอาชีพรายได้ให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย สร้างกระบวนความคิด ความรู้ ให้กับประชาชนเพื่อให้เป็นประชาชนที่เข้มแข็ง มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก และเพื่อให้พร้อมก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนและประชาคมโลกในโอกาสต่อไปโดยเร็วที่สุด

และในวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันครบรอบ 2 เดือน ของการบริหารราชการแผ่นดิน โดย คสช. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ที่ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว โดยมีทั้งหมด 17 หน้า ประกอบด้วย 48 มาตรา ซึ่งมีสาระสำคัญ อาทิ ให้รัฐบาล ฝ่ายบริหาร คณะรัฐมนตรี รับผิดชอบงานเฉพาะด้านการบริหาร โดย คสช. รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีสมาชิก 220 คน ทำหน้าที่ออกกฎหมาย สภาปฏิรูป (สปร.) มีสมาชิก 200 คน ทำหน้าที่คล้ายสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) คือ พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอมาและยังมีหน้าที่กำหนดวาระการปฏิรูปประเทศ เป็นต้น

ทั้งนี้ คสช. มุ่งหวังให้การบริหารราชการแผ่นดิน นับจากนี้ต่อไป เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ประชาชนชาวไทยทุกพวก ทุกฝ่าย มีความรัก ความสามัคคี และมีความปรองดองสมานฉันท์ อันเป็นแนวทางสำคัญและมั่นคง เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างสมบูรณ์ และยั่งยืนในทุกมิติ
กำลังโหลดความคิดเห็น