กระทรวงสาธารณสุข ชี้โรคเนื้อเน่า เป็นโรคติดเชื้ออย่างรุนแรงของผิวหนังและไขมันใต้ผิวหนัง มีอัตราตายและพิการสูง ทั่วประเทศพบผู้ป่วยปีละ 100-200 ราย ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา ย้ำเตือนผู้ที่มีความเสี่ยงโรคนี้จะต้องระวังเป็นพิเศษอย่าให้มีบาดแผล โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ อาทิ เบาหวาน ไตวาย มะเร็งที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด รวมทั้งเกษตรกรที่มีบาดแผลเล็กๆน้อยๆ ต้องระวัง เพราะมีความเสี่ยงเชื้อโรคเข้าแผลได้ง่ายขึ้น หากมีบาดแผลเกิดขึ้น ให้รีบล้างทำความสะอาดบาดแผล ใส่ยาฆ่าเชื้อ หากแผลปวด บวม แดงมากขึ้น หรือมีไข้ร่วมด้วย แสดงถึงการติดเชื้อ ให้รีบพบแพทย์ มียารักษาหายได้
จากกรณีที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคเนื้อเน่าและปรากฏเป็นข่าวว่าเป็นแบคทีเรียกินเนื้อคน นั้น ในวันนี้ (25 กรกฎาคม 2557) นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า โรคที่ปรากฏเป็นข่าวดังกล่าวทางการแพทย์เรียกว่า เนคโครไทซิ่ง แฟสซิไอติส (Necrotizing fasciitis) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า โรคเนื้อเน่า จัดเป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนังและชั้นไขมันใต้ผิวหนังอย่างรุนแรง มีอัตราตายและพิการสูง พบมากที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มักพบในเกษตรกร ที่ทำไร่ทำนา ทำให้มีโอกาสเกิดบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ และสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ในดิน หรือในน้ำได้ง่าย
นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า ในแต่ละปีจะพบผู้ป่วยประมาณ 100 - 200 ราย อัตราตายร้อยละ 9 - 64 ขึ้นอยู่กับระยะเวลา และความรุนแรง หากมาพบแพทย์เมื่อมีอาการรุนแรงถึงขั้นช็อกแล้ว จะทำให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น โดยช่วงระยะเวลาที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือเดือนมีนาคม – มิถุนายน รองลงมาเป็นช่วงเดือนกรกฎาคม –ตุลาคม ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับโรคนี้ โดยเฉพาะการดูแลบาดแผล อาการที่ต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต
“กลุ่มประชาชนที่มีความเสี่ยงเกิดโรคเนื้อเน่า ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำหรือเป็นโรคเกี่ยวกับเส้นเลือด เช่นเบาหวาน ไตวาย มะเร็งที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด ผู้สูงอายุ คนอ้วน ผู้ที่กินยาสเตียรอยด์หรือยาชุด ผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ เป็นต้น ต้องระวังอย่าให้มีบาดแผล หากมีบาดแผลก็จะต้องดูแลรักษาแผลให้สะอาด และหลีกเลี่ยงให้แผลโดนน้ำหรือดิน เพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อลุกลามเป็นโรคเนื้อเน่า” นายแพทย์ณรงค์กล่าว
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคเนื้อเน่า ส่วนใหญ่จะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมีอาชีพทำนา ตำแหน่งที่เกิดเกือบครึ่งหนึ่งเกิดที่บริเวณขา รองลงมาเป็นบริเวณเท้า เนื่องจากต้องเดินลุยดงหญ้า นาข้าว เหยียบย่ำโคลนระหว่างทำนา ทำให้มีแผลถูกใบหญ้าใบข้าวบาด กิ่งไม้ข่วน เกิดแผลเล็กๆ จึงไม่ได้ให้ความสนใจทำความสะอาด เมื่อเชื้อโรคที่พบในดินในน้ำทั่วๆ ไปเข้าไปในแผล จะทำให้เกิดการอักเสบ ลุกลามได้ง่าย รายที่รุนแรงที่สุดคือเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะไตวาย และช็อค เสียชีวิตในที่สุด
โรคเนื้อเน่ามักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดร่วมกัน เช่น เชื้อสเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ (Streptococcus group A) เชื้อเคลปซิลล่า (Klebsiella) เชื้อคลอสตริเดียม (Clostridium) ที่ทำให้เกิดโรคบาดทะยักเชื้ออี โคไล ( E. coli) เชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) และเชื้อแอโรโมแนส ไฮโดรฟิลา (Aeromonas hydrophila) เป็นต้น เชื้อที่พบบ่อยที่สุดคือ สเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ โดยจะปวดแผลมาก แผลอักเสบบวม แดง ร้อนอย่างรวดเร็ว โดยอาการปวดจะรุนแรงมากแม้จะมีบาดแผลเล็กๆ ก็ตาม ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ รวมทั้งมีไข้สูง ผิวหนังที่บาดแผลมีสีคล้ำ ม่วง ดำ หรือมีถุงน้ำเกิดขึ้น หากได้รับการตรวจรักษาที่รวดเร็ว โดยผ่าตัดเอาเนื้อที่เน่าตายออก และให้ยาปฏิชีวนะ จะลดอัตราตายและพิการลงได้
“จากการสอบประวัติผู้ป่วยโรคเนื้อเน่าพบว่า ส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยง คือมีบาดแผลเล็กๆน้อยๆ นำมาก่อน เช่น มีดบาด ตะปูตำ หนามข่วน สัตว์ มดกัด เป็นต้น แล้วปล่อยปละละเลย ไม่ได้ทำความสะอาดแผลอย่างถูกต้อง หรือบางรายใช้สมุนไพรที่ทำเองพอกแผล ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในแผลและเข้าสู่กระแสเลือด” นายแพทย์โสภณกล่าว
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ในการป้องกันโรคดังกล่าว ขอให้ประชาชนดูแลระมัดระวังอย่าให้มีบาดแผลเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงน้ำท่วมขอให้ใส่รองเท้าบู๊ทยาว ป้องกันถูกของมีคมทิ่มแทงที่เท้า และป้องกันบาดแผลที่ขา หากมีบาดแผลขอให้หลีกเลี่ยงการลุยน้ำ และทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ และใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพรวิดีน ระวังอย่าให้มีสิ่งสกปรกเข้าไปในบาดแผล โดยเฉพาะบาดแผลที่เกิดจากวัสดุที่สกปรก เช่น ตะปู หนาม ไม้ที่อยู่ในน้ำ ทิ่มแทง ควรรีบไปพบแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน และสังเกตอย่างใกล้ชิดหากมีไข้ บวม ปวดแผลมากขึ้นให้รีบปรึกษาแพทย์
นอกจากนี้ ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยกินอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่นไข่ ปลา เนื้อสัตว์ต่างๆ และผักผลไม้ เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น หลังเสร็จภารกิจการทำงานในไร่นา หรือหาปลาให้รีบอาบน้ำชำระล้างร่างกายทันที และไม่ควรกินยาชุดหรือซื้อยาลูกกลอน ยาแก้ปวดเมื่อยกินเป็นประจำ เนื่องจากอาจมีสารสเตียรอยด์ผสมอยู่ ซึ่งจะไปกดภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ติดเชื้อง่าย ไตวายได้ ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจสามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
จากกรณีที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคเนื้อเน่าและปรากฏเป็นข่าวว่าเป็นแบคทีเรียกินเนื้อคน นั้น ในวันนี้ (25 กรกฎาคม 2557) นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า โรคที่ปรากฏเป็นข่าวดังกล่าวทางการแพทย์เรียกว่า เนคโครไทซิ่ง แฟสซิไอติส (Necrotizing fasciitis) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า โรคเนื้อเน่า จัดเป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนังและชั้นไขมันใต้ผิวหนังอย่างรุนแรง มีอัตราตายและพิการสูง พบมากที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มักพบในเกษตรกร ที่ทำไร่ทำนา ทำให้มีโอกาสเกิดบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ และสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ในดิน หรือในน้ำได้ง่าย
นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า ในแต่ละปีจะพบผู้ป่วยประมาณ 100 - 200 ราย อัตราตายร้อยละ 9 - 64 ขึ้นอยู่กับระยะเวลา และความรุนแรง หากมาพบแพทย์เมื่อมีอาการรุนแรงถึงขั้นช็อกแล้ว จะทำให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น โดยช่วงระยะเวลาที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือเดือนมีนาคม – มิถุนายน รองลงมาเป็นช่วงเดือนกรกฎาคม –ตุลาคม ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับโรคนี้ โดยเฉพาะการดูแลบาดแผล อาการที่ต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต
“กลุ่มประชาชนที่มีความเสี่ยงเกิดโรคเนื้อเน่า ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำหรือเป็นโรคเกี่ยวกับเส้นเลือด เช่นเบาหวาน ไตวาย มะเร็งที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด ผู้สูงอายุ คนอ้วน ผู้ที่กินยาสเตียรอยด์หรือยาชุด ผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ เป็นต้น ต้องระวังอย่าให้มีบาดแผล หากมีบาดแผลก็จะต้องดูแลรักษาแผลให้สะอาด และหลีกเลี่ยงให้แผลโดนน้ำหรือดิน เพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อลุกลามเป็นโรคเนื้อเน่า” นายแพทย์ณรงค์กล่าว
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคเนื้อเน่า ส่วนใหญ่จะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมีอาชีพทำนา ตำแหน่งที่เกิดเกือบครึ่งหนึ่งเกิดที่บริเวณขา รองลงมาเป็นบริเวณเท้า เนื่องจากต้องเดินลุยดงหญ้า นาข้าว เหยียบย่ำโคลนระหว่างทำนา ทำให้มีแผลถูกใบหญ้าใบข้าวบาด กิ่งไม้ข่วน เกิดแผลเล็กๆ จึงไม่ได้ให้ความสนใจทำความสะอาด เมื่อเชื้อโรคที่พบในดินในน้ำทั่วๆ ไปเข้าไปในแผล จะทำให้เกิดการอักเสบ ลุกลามได้ง่าย รายที่รุนแรงที่สุดคือเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะไตวาย และช็อค เสียชีวิตในที่สุด
โรคเนื้อเน่ามักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดร่วมกัน เช่น เชื้อสเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ (Streptococcus group A) เชื้อเคลปซิลล่า (Klebsiella) เชื้อคลอสตริเดียม (Clostridium) ที่ทำให้เกิดโรคบาดทะยักเชื้ออี โคไล ( E. coli) เชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) และเชื้อแอโรโมแนส ไฮโดรฟิลา (Aeromonas hydrophila) เป็นต้น เชื้อที่พบบ่อยที่สุดคือ สเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ โดยจะปวดแผลมาก แผลอักเสบบวม แดง ร้อนอย่างรวดเร็ว โดยอาการปวดจะรุนแรงมากแม้จะมีบาดแผลเล็กๆ ก็ตาม ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ รวมทั้งมีไข้สูง ผิวหนังที่บาดแผลมีสีคล้ำ ม่วง ดำ หรือมีถุงน้ำเกิดขึ้น หากได้รับการตรวจรักษาที่รวดเร็ว โดยผ่าตัดเอาเนื้อที่เน่าตายออก และให้ยาปฏิชีวนะ จะลดอัตราตายและพิการลงได้
“จากการสอบประวัติผู้ป่วยโรคเนื้อเน่าพบว่า ส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยง คือมีบาดแผลเล็กๆน้อยๆ นำมาก่อน เช่น มีดบาด ตะปูตำ หนามข่วน สัตว์ มดกัด เป็นต้น แล้วปล่อยปละละเลย ไม่ได้ทำความสะอาดแผลอย่างถูกต้อง หรือบางรายใช้สมุนไพรที่ทำเองพอกแผล ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในแผลและเข้าสู่กระแสเลือด” นายแพทย์โสภณกล่าว
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ในการป้องกันโรคดังกล่าว ขอให้ประชาชนดูแลระมัดระวังอย่าให้มีบาดแผลเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงน้ำท่วมขอให้ใส่รองเท้าบู๊ทยาว ป้องกันถูกของมีคมทิ่มแทงที่เท้า และป้องกันบาดแผลที่ขา หากมีบาดแผลขอให้หลีกเลี่ยงการลุยน้ำ และทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ และใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพรวิดีน ระวังอย่าให้มีสิ่งสกปรกเข้าไปในบาดแผล โดยเฉพาะบาดแผลที่เกิดจากวัสดุที่สกปรก เช่น ตะปู หนาม ไม้ที่อยู่ในน้ำ ทิ่มแทง ควรรีบไปพบแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน และสังเกตอย่างใกล้ชิดหากมีไข้ บวม ปวดแผลมากขึ้นให้รีบปรึกษาแพทย์
นอกจากนี้ ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยกินอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่นไข่ ปลา เนื้อสัตว์ต่างๆ และผักผลไม้ เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น หลังเสร็จภารกิจการทำงานในไร่นา หรือหาปลาให้รีบอาบน้ำชำระล้างร่างกายทันที และไม่ควรกินยาชุดหรือซื้อยาลูกกลอน ยาแก้ปวดเมื่อยกินเป็นประจำ เนื่องจากอาจมีสารสเตียรอยด์ผสมอยู่ ซึ่งจะไปกดภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ติดเชื้อง่าย ไตวายได้ ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจสามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422