เฃ้าวันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว.สรรหา ได้โพสต์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว Kamnoon Sidhisamarn กรณีสนช. ที่จะแต่งตั้งขึ้นใหม่ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 จะมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกระบวนการถอดถอนอดีตประธานวุฒิสภา อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปปช.ชี้มูลแล้ว ต่อหรือไม่ โดยมีรายละเอียดดังนี้
คำถามที่น่าสนใจและท้าทายในอนาคตอันใกล้นี้คือ สนช.ที่จะแต่งตั้งขึ้นใหม่ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 จะมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกระบวนการถอดถอนบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ปปช.ชี้มูลส่งมาให้วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ 2550 ดำเนินกระบวนการถอนถอนออกจากตำแหน่งแล้วก่อนรัฐประหารได้หรือไม่ ทั่งที่ชี้มูลส่งมาแล้ว คือ อดีตประธานวุฒิสภา อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตส.ส./ส.ว.จำนวนหนึ่ง และที่จะส่งมาต่อไป
เพราะแม้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 6 วรรคสองจะเขียนให้สนช.ทำหน้าที่วุฒิสภาไว้ด้วยแล้ว แต่บทบัญญัติว่าด้วยการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่มีอยู่แล้ว และรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ไม่ได้เขียนรับรองไว้ แม้จะยังคงมีกฎหมายปปช.บทว่าด้วยการถอดถอนอยู่ก็ตาม แต่กฎหมายปปช.ก็เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฉบับที่เลิกไปแล้ว
ควรเข้าใจนะครับว่าถึงไม่มีตำแหน่งทางการเมืองแล้ว แต่วุฒิสภาชุดที่แล้วได้วางหลักสำคัญที่สุดไว้ว่าต้องดำเนินกระบวนการถอดถอนต่อไป เพราะยังมีโทษห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปีรออยู่ด้วย
เรื่องนี้สำคัญมาก
เพราะถ้าสนช.ดำเนินกระบวนการถอดถอนต่อไปได้ ก็จะตัดนักการเมืองที่ร่วมกระทำผิดออกจากระบบไปได้มาก ไม่ใช่ความผิดธรรมดา แต่เป็นการใชัอำนาจอธิปไตยโดยขาดหลักนิติธรรม หากอ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 และ 1/2557 แล้วสรุปด้วยภาษาชาวบ้านว่าก็คือความพยายามชำเรารัฐธรรมนูญเพื่อปล้นอำนาจอธิปไตยของประชาชนที่มีเหลืออยู่นัอยนิดไปเป็นของพรรคการเมืองสรัางระบอบเผด็จการรัฐสภาโคตรเบ็ดเสร็จขึ้นมา
การกันพวกเขาออกนอกระบบการเมืองหากโดนมติถอดถอนอาจไม่ใช่แค่ 5 ปี อาจตลอดชีวิตด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาจะไปเจอรัฐธรรมนูญฉบับถาวร 2558 ที่มีกรอบตามมาตรา 35 (4) ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 อีก
"กลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและตรวจสอบมิให้ผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบหรือเคยกระทำการอันทำให้การเลือกตั้วไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเด็ดขาด"
แต่ถ้าสนช.ดำเนินกระบวนการถอดถอนต่อไปไม่ได้ ก็น่าสงสัยว่าทำไมจึงไม่ได้ เพราะโอกาสที่วุฒิสภาปรกติจะมีเอกภาพจนสามารถมีมติด้วยเสียง 3 ใน 5 ยากมาก
เรื่องนี้ยังมีความเห็นทางกฎหมายต่างกันเป็น 2 ทาง
และเนื่องจากเป็นเรื่องในวงงานนิติบัญญัติ ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 5 วรรคสองอำนาจในการวินิจฉัยอยู่ที่สนช.เอง
น่าเสียดายที่รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่เขียนปิดจุดอ่อนของการทำรัฐประหารในอดีตได้หมด ไม่เขียนรองรับอำนาจดำเนินการถอดถอนต่อไปของสนช.ให้ชัดเจนเสียเลย
คำถามที่น่าสนใจและท้าทายในอนาคตอันใกล้นี้คือ สนช.ที่จะแต่งตั้งขึ้นใหม่ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 จะมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกระบวนการถอดถอนบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ปปช.ชี้มูลส่งมาให้วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ 2550 ดำเนินกระบวนการถอนถอนออกจากตำแหน่งแล้วก่อนรัฐประหารได้หรือไม่ ทั่งที่ชี้มูลส่งมาแล้ว คือ อดีตประธานวุฒิสภา อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตส.ส./ส.ว.จำนวนหนึ่ง และที่จะส่งมาต่อไป
เพราะแม้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 6 วรรคสองจะเขียนให้สนช.ทำหน้าที่วุฒิสภาไว้ด้วยแล้ว แต่บทบัญญัติว่าด้วยการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่มีอยู่แล้ว และรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ไม่ได้เขียนรับรองไว้ แม้จะยังคงมีกฎหมายปปช.บทว่าด้วยการถอดถอนอยู่ก็ตาม แต่กฎหมายปปช.ก็เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฉบับที่เลิกไปแล้ว
ควรเข้าใจนะครับว่าถึงไม่มีตำแหน่งทางการเมืองแล้ว แต่วุฒิสภาชุดที่แล้วได้วางหลักสำคัญที่สุดไว้ว่าต้องดำเนินกระบวนการถอดถอนต่อไป เพราะยังมีโทษห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปีรออยู่ด้วย
เรื่องนี้สำคัญมาก
เพราะถ้าสนช.ดำเนินกระบวนการถอดถอนต่อไปได้ ก็จะตัดนักการเมืองที่ร่วมกระทำผิดออกจากระบบไปได้มาก ไม่ใช่ความผิดธรรมดา แต่เป็นการใชัอำนาจอธิปไตยโดยขาดหลักนิติธรรม หากอ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 และ 1/2557 แล้วสรุปด้วยภาษาชาวบ้านว่าก็คือความพยายามชำเรารัฐธรรมนูญเพื่อปล้นอำนาจอธิปไตยของประชาชนที่มีเหลืออยู่นัอยนิดไปเป็นของพรรคการเมืองสรัางระบอบเผด็จการรัฐสภาโคตรเบ็ดเสร็จขึ้นมา
การกันพวกเขาออกนอกระบบการเมืองหากโดนมติถอดถอนอาจไม่ใช่แค่ 5 ปี อาจตลอดชีวิตด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาจะไปเจอรัฐธรรมนูญฉบับถาวร 2558 ที่มีกรอบตามมาตรา 35 (4) ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 อีก
"กลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและตรวจสอบมิให้ผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบหรือเคยกระทำการอันทำให้การเลือกตั้วไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเด็ดขาด"
แต่ถ้าสนช.ดำเนินกระบวนการถอดถอนต่อไปไม่ได้ ก็น่าสงสัยว่าทำไมจึงไม่ได้ เพราะโอกาสที่วุฒิสภาปรกติจะมีเอกภาพจนสามารถมีมติด้วยเสียง 3 ใน 5 ยากมาก
เรื่องนี้ยังมีความเห็นทางกฎหมายต่างกันเป็น 2 ทาง
และเนื่องจากเป็นเรื่องในวงงานนิติบัญญัติ ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 5 วรรคสองอำนาจในการวินิจฉัยอยู่ที่สนช.เอง
น่าเสียดายที่รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่เขียนปิดจุดอ่อนของการทำรัฐประหารในอดีตได้หมด ไม่เขียนรองรับอำนาจดำเนินการถอดถอนต่อไปของสนช.ให้ชัดเจนเสียเลย