การลุกฮือก่อการโจมตีในซีเรียและลามสู่อิรักของกบฏสุหนี่ กลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างยิ่งให้แก่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย เนื่องจากหวั่นเกรงว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางกำลังบ่มเพาะนักรบรุ่นใหม่ที่จะกลับมาก่อเหตุและเป็นแรงบันดาลใจสร้างนักรบรุ่นต่อไปในบ้านเกิด โดยมีสื่อสังคมเป็นตัวช่วยอย่างดี
ช่วงทศวรรษ 1990 มุสลิมจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์หลายร้อยคนร่วมฝึกฝนกับเครือข่ายอัล-กออิดะห์ในอัฟกานิสถาน ก่อนนำทักษะและอุดมการณ์กลับบ้านและเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการโจมตีหลายครั้ง เช่น การระเบิดไนต์คลับในบาหลีเมื่อปี 2002 ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 202 คน
ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงประเมินว่า มีชาวมาเลเซียอย่างน้อย 30 คน และชาวอินโดนีเซีย 56 คน ร่วมสู้รบในซีเรีย ขณะที่นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงเชื่อว่า ตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านั้น
ด้านรัฐบาลออสเตรเลียคาดว่า มีพลเมืองราว 150 คนเดินทางสู่ตะวันออกกลางเพื่อร่วมสู้รบในซีเรียและอิรัก โดยบางคนในจำนวนนี้รับบทบาทหัวหน้ากลุ่ม
วัน จูไนดี ตวนกู จาฟาร์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยมาเลเซีย แสดงความกังวลว่า ประชาชนบางคนที่ติดต่อกับคนเหล่านั้นอาจถูกชักนำให้เข้าร่วมกลุ่มก่อการร้าย และนับจากเดือนเมษายน ตำรวจเสือเหลืองจับกุมผู้ต้องสงสัยก่อความรุนแรงได้อย่างน้อย 16 คน ซึ่งเชื่อว่า มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มอิสลามแห่งอิรักและเลแวนต์ (ISIL) โดยบางคนในจำนวนนี้ได้รับการฝึกฝนในป่าทางเหนือของประเทศ สื่อท้องถิ่นของมาเลเซียยังรายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ของ ISIL ว่า อาหมัด ทาร์มิมี ชาวมาเลเซีย ก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในอิรักเมื่อเดือนที่แล้ว
อินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก เป็นศูนย์กลางนักรบอิสลามในเอเชียตะวันออกมายาวนาน โดยเป็นที่ตั้งรกรากของกลุ่มเจมาห์ อิสลามิอาห์ (JI) ที่ก่อเหตุระเบิดบาหลีเมื่อ 12 ปีที่แล้ว รวมถึงการโจมตีเป้าหมายตะวันตกอีกหลายครั้ง
ในรายงานที่ออกมาเมื่อเดือนมกราคม อินสติติวท์ ฟอร์ โพลิซี อนาลิซิส ออฟ คอนฟลิกต์ (IPAC) ระบุว่า วิกฤตซีเรียเป็นแรงบันดาลใจให้กลุ่มหัวรุนแรงในอินโดนีเซียในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนหนึ่งเนื่องจากการสอน “การต่อสู้ครั้งสุดท้าย” ที่นำผู้ฝึกเข้าสู่ประสบการณ์จริงในซีเรีย
“เราจะเห็นได้ว่า ISIL เข้มแข็ง เติบโต และแผ่ขยายอิทธิพลเข้าสู่เมืองต่างๆ ในอิรัก ทั้งโมซุล ติกริต มาจนถึงรามาดี และอีกไม่นานแม้แต่แบกแดดก็อาจแตกได้" เอ็ม แฟ็กรี บรรณาธิการบริหาร al-mustaqbal.net เว็บไซต์กลุ่มหัวรุนแรงในอินโดนีเซีย ระบุ
ช่วงทศวรรษ 1990 มุสลิมจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์หลายร้อยคนร่วมฝึกฝนกับเครือข่ายอัล-กออิดะห์ในอัฟกานิสถาน ก่อนนำทักษะและอุดมการณ์กลับบ้านและเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการโจมตีหลายครั้ง เช่น การระเบิดไนต์คลับในบาหลีเมื่อปี 2002 ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 202 คน
ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงประเมินว่า มีชาวมาเลเซียอย่างน้อย 30 คน และชาวอินโดนีเซีย 56 คน ร่วมสู้รบในซีเรีย ขณะที่นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงเชื่อว่า ตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านั้น
ด้านรัฐบาลออสเตรเลียคาดว่า มีพลเมืองราว 150 คนเดินทางสู่ตะวันออกกลางเพื่อร่วมสู้รบในซีเรียและอิรัก โดยบางคนในจำนวนนี้รับบทบาทหัวหน้ากลุ่ม
วัน จูไนดี ตวนกู จาฟาร์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยมาเลเซีย แสดงความกังวลว่า ประชาชนบางคนที่ติดต่อกับคนเหล่านั้นอาจถูกชักนำให้เข้าร่วมกลุ่มก่อการร้าย และนับจากเดือนเมษายน ตำรวจเสือเหลืองจับกุมผู้ต้องสงสัยก่อความรุนแรงได้อย่างน้อย 16 คน ซึ่งเชื่อว่า มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มอิสลามแห่งอิรักและเลแวนต์ (ISIL) โดยบางคนในจำนวนนี้ได้รับการฝึกฝนในป่าทางเหนือของประเทศ สื่อท้องถิ่นของมาเลเซียยังรายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ของ ISIL ว่า อาหมัด ทาร์มิมี ชาวมาเลเซีย ก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในอิรักเมื่อเดือนที่แล้ว
อินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก เป็นศูนย์กลางนักรบอิสลามในเอเชียตะวันออกมายาวนาน โดยเป็นที่ตั้งรกรากของกลุ่มเจมาห์ อิสลามิอาห์ (JI) ที่ก่อเหตุระเบิดบาหลีเมื่อ 12 ปีที่แล้ว รวมถึงการโจมตีเป้าหมายตะวันตกอีกหลายครั้ง
ในรายงานที่ออกมาเมื่อเดือนมกราคม อินสติติวท์ ฟอร์ โพลิซี อนาลิซิส ออฟ คอนฟลิกต์ (IPAC) ระบุว่า วิกฤตซีเรียเป็นแรงบันดาลใจให้กลุ่มหัวรุนแรงในอินโดนีเซียในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนหนึ่งเนื่องจากการสอน “การต่อสู้ครั้งสุดท้าย” ที่นำผู้ฝึกเข้าสู่ประสบการณ์จริงในซีเรีย
“เราจะเห็นได้ว่า ISIL เข้มแข็ง เติบโต และแผ่ขยายอิทธิพลเข้าสู่เมืองต่างๆ ในอิรัก ทั้งโมซุล ติกริต มาจนถึงรามาดี และอีกไม่นานแม้แต่แบกแดดก็อาจแตกได้" เอ็ม แฟ็กรี บรรณาธิการบริหาร al-mustaqbal.net เว็บไซต์กลุ่มหัวรุนแรงในอินโดนีเซีย ระบุ