นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงการที่นักลงทุนญี่ปุ่นเรียกร้องให้ประเทศไทย เร่งแก้ไขปัญหาการเมืองภายใน 6-12 เดือน ไม่อย่างนั้นจะย้ายฐานลงทุนไปประเทศอื่น โดยยอมรับว่า ส.อ.ท.กังวลกับกรณีนี้เช่นเดียวกัน เพราะว่าเมื่อนักลงทุนตัดสินใจจะย้ายฐานการลงทุนออกไปแล้ว ยากที่จะกลับเข้ามาอีก จึงเรียกร้องให้ผู้รับผิดชอบต้องดูแลให้การบังคับใช้กฎหมายเท่าเทียมและเป็นธรรม และทุกฝ่ายต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาค ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ
นายพยุงศักดิ์ ในฐานะเป็นคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งครบวาระ กล่าวอีกว่า ตอนนี้มีการลงทุนขนาดใหญ่มูลค่าเกิน 200 ล้านบาทขึ้นไป ที่ยื่นขอบีโอไอ แต่ยังไม่มีคณะกรรมการชุดใหม่มาพิจารณา เพราะว่ารักษาการรัฐบาลไม่สามารถตั้งคณะกรรมการบีโอไอชุดใหม่ได้ บีโอไอต้องการความมั่นใจจึงสอบถามไปยังสำนักงานกฤษฎีกา และรอผลพิจารณาที่คาดว่าจะทราบในเร็ววันนี้
ล่าสุดมีการลงทุนขนาดใหญ่เกินกว่า 200 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งของนักลงทุนไทยและต่างชาติรอการพิจารณามูลค่ารวมประมาณ 500,000 ล้านบาท บีโอไอเสนอนักลงทุนว่า ให้แยกเป็นโครงการย่อยไม่เกิน 200 ล้านบาท ซึ่งสำนักงานบีโอไอสามารถอนุมัติได้เองไม่ต้องรอบอร์ดชุดใหม่
นายพยุงศักดิ์ กล่าวอีกว่า ความล่าช้าที่เกิดขึ้นทำให้ไทยเสียโอกาส โดยเฉพาะนักลงทุนที่ไม่เคยลงทุนในไทยจะพิจารณาไปประเทศอื่น เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แม้ประเทศไทยมีศักยภาพเหมาะสมที่จะลงทุนมากที่สุด เพราะมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาท แต่ตอนนี้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นมาอีก ถ้าไม่สามารถดำเนินการได้ศักยภาพโดยรวมของไทยจะไม่แข็งแกร่ง
นายพยุงศักดิ์ ในฐานะเป็นคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งครบวาระ กล่าวอีกว่า ตอนนี้มีการลงทุนขนาดใหญ่มูลค่าเกิน 200 ล้านบาทขึ้นไป ที่ยื่นขอบีโอไอ แต่ยังไม่มีคณะกรรมการชุดใหม่มาพิจารณา เพราะว่ารักษาการรัฐบาลไม่สามารถตั้งคณะกรรมการบีโอไอชุดใหม่ได้ บีโอไอต้องการความมั่นใจจึงสอบถามไปยังสำนักงานกฤษฎีกา และรอผลพิจารณาที่คาดว่าจะทราบในเร็ววันนี้
ล่าสุดมีการลงทุนขนาดใหญ่เกินกว่า 200 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งของนักลงทุนไทยและต่างชาติรอการพิจารณามูลค่ารวมประมาณ 500,000 ล้านบาท บีโอไอเสนอนักลงทุนว่า ให้แยกเป็นโครงการย่อยไม่เกิน 200 ล้านบาท ซึ่งสำนักงานบีโอไอสามารถอนุมัติได้เองไม่ต้องรอบอร์ดชุดใหม่
นายพยุงศักดิ์ กล่าวอีกว่า ความล่าช้าที่เกิดขึ้นทำให้ไทยเสียโอกาส โดยเฉพาะนักลงทุนที่ไม่เคยลงทุนในไทยจะพิจารณาไปประเทศอื่น เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แม้ประเทศไทยมีศักยภาพเหมาะสมที่จะลงทุนมากที่สุด เพราะมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาท แต่ตอนนี้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นมาอีก ถ้าไม่สามารถดำเนินการได้ศักยภาพโดยรวมของไทยจะไม่แข็งแกร่ง
