นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า วันนี้ได้มีการประชุมผู้บริหารกระทรวงพลังงาน ซึ่งมีนายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้มีการประชุมติดตามงาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเสนอ ครม.ชุดใหม่ หากมีการจัดตั้งเสร็จสิ้น โดยมีเรื่องเร่งด่วนมีหลายด้าน เช่น การปรับราคาแอลพีจีภาคขนส่ง การปรับโครงสร้างราคาเอ็นจีวี แผนโครงสร้างพื้นฐานท่อก๊าซธรรมชาติ การขออนุมัติให้โครงการติดตั้งไฟฟ้าบนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟท็อป (solar rooftop) กรณีกำลังผลิตไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ ไม่ต้องเสนอขออนุมัติใบอนุญาต โรงงาน หรือ รง.4 ขณะที่การก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะ 4-7 เพื่อทดแทนโรงเดิม ที่หมดอายุกำลังผลิต 600 เมกะวัตต์ นับเป็นเรื่องเร่งด่วน เพื่อความมั่นคงพลังงาน
นายเสมอใจ กล่าวว่า ราคาแอลพีจีภาคขนส่งขณะนี้อยู่ที่ 21.38 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับภาคครัวเรือนที่ทยอยขึ้นกิโลกรัมละ 50 สตางค์ มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 (โดยทยอยปรับให้เท่ากับต้นทุนหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม) จนเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม โดยตามแผนเดิมเดือนกุมภาพันธ์ จะต้องเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. เพื่อขอปรับราคาแอลพีจีภาคขนส่ง ให้เดือนมีนาคมมีราคาเท่ากับภาคครัวเรือนที่ 21.63 บาทต่อกิโลกรัม แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป แต่เมื่อยุบสภาฯ จึงไม่สามารถปรับราคาได้ ซึ่งที่ประชุมผู้บริหารกระทรวงเป็นห่วง ซึ่งหากยังจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไม่ได้แล้วราคาต่างกันมากเกินกว่า 1 บาทต่อกิโลกรัม อาจมีการลักลอบถ่ายเทก๊าซจากภาคขนส่งมาภาคครัวเรือน โดยมอบหมายทุกหน่วย รวมทั้ง ปตท.ไปศึกษาดูว่าจะหาทางแก้ปัญหาอย่างไร หรือต้องเข้ามารับภาระส่วนต่างอย่างไร และหากยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ใน 2-3 เดือนข้างหน้าก็อาจมีความจำเป็นเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอปรับราคาภาคขนส่ง
ทั้งนี้ แอลพีจีภาคครัวเรือนคงทยอยขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ตามแผน คงไม่ระงับการขึ้นตามที่เครือข่ายปฏิรูปพลังงานเสนอ เพราะไม่มีบอร์ด กพช.มาพิจารณา และการปรับขึ้นจะทำให้สะท้อนต้นทุนมากยิ่งขึ้น ส่วนแอลพีจีภาคขนส่งหากต่างกว่า ภาคครัวเรือน 1 บาทต่อกิโลกรัม ก็อาจจะเสนอ กกต.ขอความเห็นชอบปรับราคา เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว หากลักลอบใช้ผิดประเภทจะเกิดปัญหาความไม่ปลอดภัย
นายเสมอใจ กล่าวว่า ราคาแอลพีจีภาคขนส่งขณะนี้อยู่ที่ 21.38 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับภาคครัวเรือนที่ทยอยขึ้นกิโลกรัมละ 50 สตางค์ มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 (โดยทยอยปรับให้เท่ากับต้นทุนหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม) จนเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม โดยตามแผนเดิมเดือนกุมภาพันธ์ จะต้องเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. เพื่อขอปรับราคาแอลพีจีภาคขนส่ง ให้เดือนมีนาคมมีราคาเท่ากับภาคครัวเรือนที่ 21.63 บาทต่อกิโลกรัม แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป แต่เมื่อยุบสภาฯ จึงไม่สามารถปรับราคาได้ ซึ่งที่ประชุมผู้บริหารกระทรวงเป็นห่วง ซึ่งหากยังจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไม่ได้แล้วราคาต่างกันมากเกินกว่า 1 บาทต่อกิโลกรัม อาจมีการลักลอบถ่ายเทก๊าซจากภาคขนส่งมาภาคครัวเรือน โดยมอบหมายทุกหน่วย รวมทั้ง ปตท.ไปศึกษาดูว่าจะหาทางแก้ปัญหาอย่างไร หรือต้องเข้ามารับภาระส่วนต่างอย่างไร และหากยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ใน 2-3 เดือนข้างหน้าก็อาจมีความจำเป็นเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอปรับราคาภาคขนส่ง
ทั้งนี้ แอลพีจีภาคครัวเรือนคงทยอยขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ตามแผน คงไม่ระงับการขึ้นตามที่เครือข่ายปฏิรูปพลังงานเสนอ เพราะไม่มีบอร์ด กพช.มาพิจารณา และการปรับขึ้นจะทำให้สะท้อนต้นทุนมากยิ่งขึ้น ส่วนแอลพีจีภาคขนส่งหากต่างกว่า ภาคครัวเรือน 1 บาทต่อกิโลกรัม ก็อาจจะเสนอ กกต.ขอความเห็นชอบปรับราคา เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว หากลักลอบใช้ผิดประเภทจะเกิดปัญหาความไม่ปลอดภัย
