ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง จ่าสิบตำรวจปริญญา มณีโคตม์ อดีตผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรคูคต จังหวัดปทุมธานี เป็นจำเลย ในความผิดฐาน มีกระสุน เครื่องกระสุน และอาวุธสงครามที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จากกรณีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 จำเลยมีลูกระเบิดยิงขนาด 40 ม.ม. แบบเอ็ม 79 ชนิดระเบิดเจาะเกราะ และชนวนแบบเอ็ม 403 สภาพพร้อมใช้งาน รวม 62 นัด ไว้เพื่อจำหน่ายราคาลูกละ 1,200 บาท เหตุเกิดที่แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธโดยตลอด คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 10 ปี
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมพร้อมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานเป็นตำรวจ 2 ปาก และทหาร เบิกความสอดคล้องกัน โดยพยานจดจำใบหน้าของจำเลยได้ ขณะขับรถฝ่าด่านตรวจ และจำเลยได้ทำถุงพลาสติกตกลงพื้น เจ้าหน้าที่จึงตรวจดูพบกระเป๋าสตางค์มีบัตรประชาชนระบุชื่อจำเลย รวมทั้งพบกระสุนปืนของกลางด้วย และเมื่อนำหมวกกันน็อกไปตรวจหาสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) เปรียบเทียบกับจำเลยผลตรวจพิสูจน์ก็ออกมาตรงกัน แต่จำเลยให้การต่อสู้ว่า สาเหตุที่จำเลยต้องไปบริเวณด่านตรวจนั้น เพราะได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ให้เข้าไปแฝงตัวกับกลุ่ม นปช. แต่จำเลยไม่ได้นำคำสั่งของผู้บังคับบัญชามาแสดงให้ทราบ พยานหลักฐานและคำเบิกความของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนให้จำคุกจำเลย 10 ปี
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมพร้อมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานเป็นตำรวจ 2 ปาก และทหาร เบิกความสอดคล้องกัน โดยพยานจดจำใบหน้าของจำเลยได้ ขณะขับรถฝ่าด่านตรวจ และจำเลยได้ทำถุงพลาสติกตกลงพื้น เจ้าหน้าที่จึงตรวจดูพบกระเป๋าสตางค์มีบัตรประชาชนระบุชื่อจำเลย รวมทั้งพบกระสุนปืนของกลางด้วย และเมื่อนำหมวกกันน็อกไปตรวจหาสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) เปรียบเทียบกับจำเลยผลตรวจพิสูจน์ก็ออกมาตรงกัน แต่จำเลยให้การต่อสู้ว่า สาเหตุที่จำเลยต้องไปบริเวณด่านตรวจนั้น เพราะได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ให้เข้าไปแฝงตัวกับกลุ่ม นปช. แต่จำเลยไม่ได้นำคำสั่งของผู้บังคับบัญชามาแสดงให้ทราบ พยานหลักฐานและคำเบิกความของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนให้จำคุกจำเลย 10 ปี