ที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสา กลุ่ม 40 ส.ว.ร่วมกันแถลงข่าว นำโดยนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ได้เสนอต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีจะต้องยอมรับและเสียสละเพื่อคลี่คลายวิกฤตของบ้านเมือง และขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการกำกับการบริหารงานของรัฐบาลให้ยอมถอยเพื่อให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤต
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี และตระกูลชินวัตร จะต้องเสียสละช่วยกันตัดสินใจให้สัญญาประชาคมว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองอีก ถือเป็นการใช้กุศลจิตเพื่อให้ประเทศผ่านไปได้ เพราะขณะนี้มีการสูญเสียชีวิต มีการใช้อาวุธสังหารนักศึกษารามคำแหงถึง 3 ราย และล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตาจนทำให้ประชาชนผู้ร่วมชุมนุมได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก รวมทั้งยังใช้กระสุนยางยิงใส่ผู้ชุมด้วย
ด้าน น.พ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวว่า จากการตรวจสอบจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการชุมนุมที่ศูนย์นเรนทร และศูนย์เอราวัณ เมื่อเวลา 08.00 น.วันนี้ (2 ธ.ค.) มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 127 ราย โดยเฉพาะการบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาและน้ำผสมสารเคมีกรดซัลฟูริค ซึ่งไม่ทราบว่าได้ใช้ปริมาณเข้มเข้นเท่าใด ทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อบุหายใจ และทางเดินอาหาร ซึ่งจะตรวจสอบต่อไป
พร้อมกันนี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาล โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ อดทนต่อแรงยั่วยุ โดยใช้หลักเมตตาธรรม คำนึงถึงประชาชนที่มาชุมนุมอย่างสงบ และอย่าใช้วิธีรุนแรงกับประชาชน
พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา ในฐานะรองประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า รัฐบาลต้องยึดหลักว่า กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ใช่อาชญากร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดูแลไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอาวุธปน แต่จากสภาพที่เกิดขึ้นถือว่าตำรวจขาดการเอาใจใส่ดูแล และหลักปฏิบัติสากลที่จะควบคุมมวลชนต้องใช้น้ำเปล่า ไม่ใช่ผสมสารเคมี ดังนั้นคณะกรรมาาธิการจะตรวจสอบต่อไป ว่าการดำเนินการเหล่านี้เข้าหลักตามมาตรฐานสากลหรือไม่ และล่าสุดมีการใช้กระสุนยาง ถือว่า สตช.ข้ามขั้นตอนตามหลักปฏิบัติสากลทั่วไป ที่จะต้องใช้ตาข่าย
ขณะที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เท่าที่ฟังนายกรัฐมนตรีระบุว่า พร้อมเปิดทุกช่องทางเพื่อนำไปสู่การเจรจา เป็นเพียงการเรียกร้องความเห็นใจ แต่ตนยังไม่เห็นความสำนึกผิดของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี และรัฐสภาเสียงข้างมาก รับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าขาดความชอบธรรม นายกรัฐมนตรีต้องลดความไม่พอใจของมวลชน โดยขอพระราชทานร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญกลับลงมา ซึ่งเป็นการทำให้เห็นว่ายอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่ได้วินิจฉัย จะต้องทำทันที แม้จะไม่ทำให้สถานการณ์คลี่คลายแต่ก็ยังดี
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี และตระกูลชินวัตร จะต้องเสียสละช่วยกันตัดสินใจให้สัญญาประชาคมว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองอีก ถือเป็นการใช้กุศลจิตเพื่อให้ประเทศผ่านไปได้ เพราะขณะนี้มีการสูญเสียชีวิต มีการใช้อาวุธสังหารนักศึกษารามคำแหงถึง 3 ราย และล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตาจนทำให้ประชาชนผู้ร่วมชุมนุมได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก รวมทั้งยังใช้กระสุนยางยิงใส่ผู้ชุมด้วย
ด้าน น.พ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวว่า จากการตรวจสอบจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการชุมนุมที่ศูนย์นเรนทร และศูนย์เอราวัณ เมื่อเวลา 08.00 น.วันนี้ (2 ธ.ค.) มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 127 ราย โดยเฉพาะการบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาและน้ำผสมสารเคมีกรดซัลฟูริค ซึ่งไม่ทราบว่าได้ใช้ปริมาณเข้มเข้นเท่าใด ทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อบุหายใจ และทางเดินอาหาร ซึ่งจะตรวจสอบต่อไป
พร้อมกันนี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาล โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ อดทนต่อแรงยั่วยุ โดยใช้หลักเมตตาธรรม คำนึงถึงประชาชนที่มาชุมนุมอย่างสงบ และอย่าใช้วิธีรุนแรงกับประชาชน
พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา ในฐานะรองประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า รัฐบาลต้องยึดหลักว่า กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ใช่อาชญากร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดูแลไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอาวุธปน แต่จากสภาพที่เกิดขึ้นถือว่าตำรวจขาดการเอาใจใส่ดูแล และหลักปฏิบัติสากลที่จะควบคุมมวลชนต้องใช้น้ำเปล่า ไม่ใช่ผสมสารเคมี ดังนั้นคณะกรรมาาธิการจะตรวจสอบต่อไป ว่าการดำเนินการเหล่านี้เข้าหลักตามมาตรฐานสากลหรือไม่ และล่าสุดมีการใช้กระสุนยาง ถือว่า สตช.ข้ามขั้นตอนตามหลักปฏิบัติสากลทั่วไป ที่จะต้องใช้ตาข่าย
ขณะที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เท่าที่ฟังนายกรัฐมนตรีระบุว่า พร้อมเปิดทุกช่องทางเพื่อนำไปสู่การเจรจา เป็นเพียงการเรียกร้องความเห็นใจ แต่ตนยังไม่เห็นความสำนึกผิดของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี และรัฐสภาเสียงข้างมาก รับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าขาดความชอบธรรม นายกรัฐมนตรีต้องลดความไม่พอใจของมวลชน โดยขอพระราชทานร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญกลับลงมา ซึ่งเป็นการทำให้เห็นว่ายอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่ได้วินิจฉัย จะต้องทำทันที แม้จะไม่ทำให้สถานการณ์คลี่คลายแต่ก็ยังดี
