ชินโซ อาเบะ ประกาศเดินหน้ามาตรการขึ้นภาษีการขายเพื่อลดยอดหนี้สาธารณะมูลค่ามหาศาลของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นด่านทดสอบสำคัญทั้งสำหรับนโยบาย “อาเบะโนมิกส์” และภาวะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังเป็นเดิมพันทางการเมืองครั้งใหญ่ที่อาจต้องแลกด้วยตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แถลงต่อที่ประชุมบรรดาผู้วางนโยบายของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันอังคาร (1 ต.ค.) ว่า จะเริ่มเก็บภาษีการขายเพิ่มจากอัตรา 5% ในปัจจุบัน เป็น 8% ตั้งแต่เดือนเมษายนศกหน้า อันจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 8 ล้านล้านเยน (81,420 ล้านดอลลาร์) ต่อปี
นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า มาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อครัวเรือนคิดเป็นมูลค่า 8 ล้านล้านเยน (81,000 ล้านดอลาร์) ดังนั้นจึงอาจกลายเป็นตัวฉุดรั้งอุปสงค์ของผู้บริโภค ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกแห่งนี้กำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี อาเบะได้แถลงต่อผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมา โดยยืนยันตามรายงานที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่า ขณะที่เดินหน้าการขึ้นภาษีการขายเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลังในระยะยาว เขาก็จะประคองการฟื้นตัว ด้วยการออกมาตรการระยะสั้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ารวมประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ตามร่างที่มีการเผยแพร่ออกมานั้น มาตรการดังกล่าวจะเน้นที่ผู้มีรายได้ต่ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของการจ่ายเงินช่วยเหลือครั้งเดียวรายละ 10,000 เยน ตลอดจนเน้นที่ภาคธุรกิจเพื่อจูงใจให้มีการเพิ่มการลงทุนและขึ้นค่าแรง รวมทั้งจะมีการเร่งยกเลิกการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลพิเศษ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นภายหลังมหันตภัยแผ่นดินไหว-สึนามิเมื่อปี 2011 โดยเป็นที่คาดหมายกันว่า จะสามารถสรุปมาตรการเหล่านี้ในขั้นสุดท้ายในเดือนธันวาคมนี้
ระหว่างที่แถลงต่อที่ประชุมคณะรัฐบาลและผู้วางนโยบายของพรรครัฐบาล อาเบะกล่าวว่า การขึ้นภาษีการขายมีเป้าหมายเพื่อ “รักษาความน่าเชื่อถือไว้วางใจของประเทศและจัดการระบบสวัสดิการสังคมที่ยั่งยืนเพื่อประชาชนรุ่นต่อๆ ไป”
นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แถลงต่อที่ประชุมบรรดาผู้วางนโยบายของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันอังคาร (1 ต.ค.) ว่า จะเริ่มเก็บภาษีการขายเพิ่มจากอัตรา 5% ในปัจจุบัน เป็น 8% ตั้งแต่เดือนเมษายนศกหน้า อันจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 8 ล้านล้านเยน (81,420 ล้านดอลลาร์) ต่อปี
นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า มาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อครัวเรือนคิดเป็นมูลค่า 8 ล้านล้านเยน (81,000 ล้านดอลาร์) ดังนั้นจึงอาจกลายเป็นตัวฉุดรั้งอุปสงค์ของผู้บริโภค ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกแห่งนี้กำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี อาเบะได้แถลงต่อผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมา โดยยืนยันตามรายงานที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่า ขณะที่เดินหน้าการขึ้นภาษีการขายเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลังในระยะยาว เขาก็จะประคองการฟื้นตัว ด้วยการออกมาตรการระยะสั้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ารวมประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ตามร่างที่มีการเผยแพร่ออกมานั้น มาตรการดังกล่าวจะเน้นที่ผู้มีรายได้ต่ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของการจ่ายเงินช่วยเหลือครั้งเดียวรายละ 10,000 เยน ตลอดจนเน้นที่ภาคธุรกิจเพื่อจูงใจให้มีการเพิ่มการลงทุนและขึ้นค่าแรง รวมทั้งจะมีการเร่งยกเลิกการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลพิเศษ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นภายหลังมหันตภัยแผ่นดินไหว-สึนามิเมื่อปี 2011 โดยเป็นที่คาดหมายกันว่า จะสามารถสรุปมาตรการเหล่านี้ในขั้นสุดท้ายในเดือนธันวาคมนี้
ระหว่างที่แถลงต่อที่ประชุมคณะรัฐบาลและผู้วางนโยบายของพรรครัฐบาล อาเบะกล่าวว่า การขึ้นภาษีการขายมีเป้าหมายเพื่อ “รักษาความน่าเชื่อถือไว้วางใจของประเทศและจัดการระบบสวัสดิการสังคมที่ยั่งยืนเพื่อประชาชนรุ่นต่อๆ ไป”