นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า สหภาพพม่ามีความต้องการพัฒนาระบบเศรษฐกิจร่วมกับประเทศไทย โดยให้ไทยเป็นแกนหลักในการเดินหน้าแผน ในเบื้องต้นได้ศึกษาการผลิตไฟฟ้าในสหภาพพม่าต้องมีกำลังการผลิตและติดตั้งไฟฟ้าประมาณ 30 เมกะวัตต์ ในช่วงแรกที่เริ่มดำเนินการก่อสร้างและเดินเครื่องการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ จากนั้นระยะต่อไปจะเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าที่ประมาณ 200-300 เมกะวัตต์ ซึ่งฝ่ายไทยมองว่า หลังจากที่คณะอนุกรรมการด้านพลังงาน ที่มีนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เพื่อวางระบบพลังงานเตรียมความพร้อมรองรับการเกิดขึ้นของภาคอุตสาหกรรม และวางแผนการลงทุนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงพื้นที่ศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในสหภาพพม่าในพื้นที่การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย
ที่สำคัญการก่อสร้างโรงไฟฟ้าต้องมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าในระบบที่เพียงพอกับการลงทุนแล้วเกิดความคุ้มค่าในการลงทุน แต่ภาคการใช้ของประชาชนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจทวายยังมีไม่มากนัก และไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างแท้จริง รัฐบาลไทยจึงกลับมาหารือว่าเพื่อให้เกิดการลงทุนที่สูงสุดทั้ง 2 ฝ่าย จะเปลี่ยนการดำเนินการใหม่ด้วยการไม่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อรอให้มีผู้มาใช้ไฟฟ้าคงเป็นไปไม่ได้และไม่คุ้มทุน เนื่องจากต้องมีการก่อสร้างคลังเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน จึงจะเสนอเปลี่ยนเป็นการสร้างสายส่งไฟฟ้าจากไทยไปพม่าบริเวณพื้นที่ทวายแทน ด้วยการส่งกระแสไฟฟ้าเหลือใช้จากไทยเข้าไป ในอนาคตพื้นที่เขตเศรษฐกิจทวายได้รับการพัฒนาแล้วอาจมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในสหภาพพม่าและส่งไฟฟ้ามาขายในไทยต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สหภาพพม่ายังไม่ได้ตอบกลับข้อเสนอใหม่ของไทยดังกล่าวกลับมา และในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ เวลา 13.30 น. จะประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการเกี่ยวข้อง (JHC) ครั้งที่ 2 โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุม (JHC) รองนายกรัฐมนตรีสหภาพพม่า จะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย ซึ่งพม่าให้ความสนใจในเรื่องพลังงานได้ขอหารือกับคณะอนุกรรมการด้านพลังงานของไทย ที่มี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) จะเข้าร่วมหารือกับฝ่ายสหภาพพม่าด้วยเช่นกัน คาดว่าจะพิจารณากรณีข้อเสนอของฝ่ายไทย
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือในการพัฒนาด้านพลังงานระหว่างไทยและพม่าในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย จะทำให้ไทยมีการรับซื้อและนำเข้าไฟฟ้าจากต่างประเทศในอนาคต ดังนั้น การก่อสร้างระบบสายส่งจากไทยไปพม่าบริเวณทวายจะเชื่อมต่อกับการจัดทำร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2555-2573 (แผน PDP 2013) ที่จะรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มจากพม่า หากไทยสามารถกระจายแหล่งนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศได้มากขึ้น ทำให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานในการใช้พลังงานไฟฟ้าภาคกลางมากขึ้น ที่สำคัญไทยจะเป็นศูนย์กลางการกระจายเชื้อเพลิงในการเชื่อมต่อสายส่งไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียต่อไป
ที่สำคัญการก่อสร้างโรงไฟฟ้าต้องมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าในระบบที่เพียงพอกับการลงทุนแล้วเกิดความคุ้มค่าในการลงทุน แต่ภาคการใช้ของประชาชนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจทวายยังมีไม่มากนัก และไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างแท้จริง รัฐบาลไทยจึงกลับมาหารือว่าเพื่อให้เกิดการลงทุนที่สูงสุดทั้ง 2 ฝ่าย จะเปลี่ยนการดำเนินการใหม่ด้วยการไม่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อรอให้มีผู้มาใช้ไฟฟ้าคงเป็นไปไม่ได้และไม่คุ้มทุน เนื่องจากต้องมีการก่อสร้างคลังเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน จึงจะเสนอเปลี่ยนเป็นการสร้างสายส่งไฟฟ้าจากไทยไปพม่าบริเวณพื้นที่ทวายแทน ด้วยการส่งกระแสไฟฟ้าเหลือใช้จากไทยเข้าไป ในอนาคตพื้นที่เขตเศรษฐกิจทวายได้รับการพัฒนาแล้วอาจมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในสหภาพพม่าและส่งไฟฟ้ามาขายในไทยต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สหภาพพม่ายังไม่ได้ตอบกลับข้อเสนอใหม่ของไทยดังกล่าวกลับมา และในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ เวลา 13.30 น. จะประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการเกี่ยวข้อง (JHC) ครั้งที่ 2 โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุม (JHC) รองนายกรัฐมนตรีสหภาพพม่า จะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย ซึ่งพม่าให้ความสนใจในเรื่องพลังงานได้ขอหารือกับคณะอนุกรรมการด้านพลังงานของไทย ที่มี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) จะเข้าร่วมหารือกับฝ่ายสหภาพพม่าด้วยเช่นกัน คาดว่าจะพิจารณากรณีข้อเสนอของฝ่ายไทย
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือในการพัฒนาด้านพลังงานระหว่างไทยและพม่าในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย จะทำให้ไทยมีการรับซื้อและนำเข้าไฟฟ้าจากต่างประเทศในอนาคต ดังนั้น การก่อสร้างระบบสายส่งจากไทยไปพม่าบริเวณทวายจะเชื่อมต่อกับการจัดทำร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2555-2573 (แผน PDP 2013) ที่จะรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มจากพม่า หากไทยสามารถกระจายแหล่งนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศได้มากขึ้น ทำให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานในการใช้พลังงานไฟฟ้าภาคกลางมากขึ้น ที่สำคัญไทยจะเป็นศูนย์กลางการกระจายเชื้อเพลิงในการเชื่อมต่อสายส่งไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียต่อไป
