พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีกลุ่มคนร้ายปล้นธนาคารกสิกรไทย สาขาปาลัส อ.อำเภอมายอ จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสียชีวิต 1 คน ได้รับบาดเจ็บ 1 คน และราษฎรได้รับบาดเจ็บ 1 คน ส่วนคนร้ายถูกเจ้าหน้าที่ยิงตอบโต้ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 คน ใกล้กันพบอาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 มิลลิเมตร 1 กระบอก จักรยานยนต์ 1 คัน และรถยนต์ปิ๊คอัพ 1 คัน พร้อมทั้งได้โปรยตะปูเรือใบตามเส้นทางเพื่อป้องกันการไล่ติดตามของเจ้าหน้าที่ เป็นเหตุให้รถของชาวบ้านที่สัญจรไปมาได้รับความเสียหายกว่า 10 คัน
จากการตรวจสอบพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ คนร้ายที่เสียชีวิต คือนายมะตอเห มุสลิมิน อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3 หมู่ 5 ต.กะดุนง อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เป็นญาติกับนายรอฟีอี มุสลิมิน ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรง ที่เคลื่อนไหวก่อเหตุในพื้นที่ อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาสและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกัน ส่วนอาวุธปืนพกสั้น ตรวจสอบแล้ว หมายเลข กข 54295703 ซึ่งผู้ครอบครองคือ นายมะยูโซ๊ะ ดอเลาะ อายุ 55 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 ตำบลปะนาเระ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ซึ่งถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต ณ หน้ามัสยิดบ้านปะนาเระ เมื่อ 3 สิงหาคม 55
สำหรับรถยนต์ปกอัพ ยี่ห้อ มาสด้า 4 ประตู สีน้ำตาล ทะเบียน กข 7968 ปัตตานี ซึ่งเป็นทะเบียนปลอม ของกลุ่มผู้ก่อเหตุ ซึ่งถูกยิงล้อยางแตกทั้ง 4 ล้อ จอดห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 500 เมตร ภายในรถยนต์พบปลอกกระสุน ขนาด 9 มิลลิเมตร จำนวนหนึ่ง และพบกองเลือดจำนวนมาก จากการตรวจสอบพบว่าเป็นรถที่ถูกโจรกรรมมาจากองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เมื่อ 8 พฤษภาคม 56 ทะเบียนเดิม กข 5193 ปัตตานี
การกระทำดังกล่าวทำให้สังคมมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมากขึ้น เพราะนอกจากจะสร้างสถานการณ์ความรุนแรง และละเมิดสิทธิมนุษยชนมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมีหลักฐานเชื่อมโยงกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด น้ำมันเถื่อน รวมทั้งการเป็นอาชญากรปล้นธนาคารในครั้งนี้อีกด้วย การใช้มาตรการทางกฎหมาย และการเข้าจัดการกับปัญหาภัยแทรกซ้อนอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มทุนที่ให้การสนับสนุนผู้ก่อเหตุรุนแรง จึงจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อความอยู่รอดของกลุ่มปฏิบัติการในพื้นที่เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ และไม่มีรายได้
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า จึงขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ภาคประชาสังคม กลุ่มเครือข่ายต่างๆ ผู้นำศาสนา และพี่น้องประชาชน ได้ร่วมกันประณาม และแสดงพลังบริสุทธิ์ต่อต้านการใช้ความรุนแรงของ ผู้ก่อเหตุรุนแรงในทุกรูปแบบ เพื่อนำพาสันติสุข ที่ทุกคนใฝ่หากลับคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
จากการตรวจสอบพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ คนร้ายที่เสียชีวิต คือนายมะตอเห มุสลิมิน อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3 หมู่ 5 ต.กะดุนง อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เป็นญาติกับนายรอฟีอี มุสลิมิน ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรง ที่เคลื่อนไหวก่อเหตุในพื้นที่ อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาสและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกัน ส่วนอาวุธปืนพกสั้น ตรวจสอบแล้ว หมายเลข กข 54295703 ซึ่งผู้ครอบครองคือ นายมะยูโซ๊ะ ดอเลาะ อายุ 55 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 ตำบลปะนาเระ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ซึ่งถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต ณ หน้ามัสยิดบ้านปะนาเระ เมื่อ 3 สิงหาคม 55
สำหรับรถยนต์ปกอัพ ยี่ห้อ มาสด้า 4 ประตู สีน้ำตาล ทะเบียน กข 7968 ปัตตานี ซึ่งเป็นทะเบียนปลอม ของกลุ่มผู้ก่อเหตุ ซึ่งถูกยิงล้อยางแตกทั้ง 4 ล้อ จอดห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 500 เมตร ภายในรถยนต์พบปลอกกระสุน ขนาด 9 มิลลิเมตร จำนวนหนึ่ง และพบกองเลือดจำนวนมาก จากการตรวจสอบพบว่าเป็นรถที่ถูกโจรกรรมมาจากองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เมื่อ 8 พฤษภาคม 56 ทะเบียนเดิม กข 5193 ปัตตานี
การกระทำดังกล่าวทำให้สังคมมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมากขึ้น เพราะนอกจากจะสร้างสถานการณ์ความรุนแรง และละเมิดสิทธิมนุษยชนมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมีหลักฐานเชื่อมโยงกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด น้ำมันเถื่อน รวมทั้งการเป็นอาชญากรปล้นธนาคารในครั้งนี้อีกด้วย การใช้มาตรการทางกฎหมาย และการเข้าจัดการกับปัญหาภัยแทรกซ้อนอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มทุนที่ให้การสนับสนุนผู้ก่อเหตุรุนแรง จึงจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อความอยู่รอดของกลุ่มปฏิบัติการในพื้นที่เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ และไม่มีรายได้
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า จึงขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ภาคประชาสังคม กลุ่มเครือข่ายต่างๆ ผู้นำศาสนา และพี่น้องประชาชน ได้ร่วมกันประณาม และแสดงพลังบริสุทธิ์ต่อต้านการใช้ความรุนแรงของ ผู้ก่อเหตุรุนแรงในทุกรูปแบบ เพื่อนำพาสันติสุข ที่ทุกคนใฝ่หากลับคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป