ประธานาธิบดีเบนิโญ อากีโน แห่งฟิลิปปินส์ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ความพยายามสร้างสันติภาพและการปรองดองภายในชาติเมื่อวันจันทร์ (11ก.พ.) ด้วยการเดินทางเยือนดินแดนของกลุ่มกบฏโมโร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเร่งรัดความพยายามในการยุติ 1 ในความขัดแย้งซึ่งนองเลือดและยาวนานที่สุดของเอเชีย
สี่เดือนหลังจากทางการมะนิลาร่วมลงนามในข้อตกลงโรดแมปสันติภาพ กับแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (เอ็มไอแอลเอฟ) อากีโนได้เดินทางไปยังที่มั่นของกลุ่มกบฏกลุ่มนี้ที่อยู่ทางใต้สุดของประเทศ เพื่อส่งเสริมเพิ่มพูนความเชื่อมั่นระหว่างกัน
“เรามีเวลาเหลือเพียง 3 ปีกับ 4 เดือน เราจึงต้องเร่งรัดทุกอย่างเพื่อให้สันติภาพครั้งนี้ยืนยงถาวร” อากีโนกล่าวบนเวทีคู่กับ มูรัด เอบรอฮิม ผู้นำเอ็มไอแอลเอฟ ที่บริเวณหน้าค่ายดาราพานัน ซึ่งเป็นฐานบัญชาการหลักที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาของเอ็มไอแอลเอฟ
ตามข้อตกลงแม่บท ทั้งสองฝ่ายจะต้องตกลงกันให้ได้เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้เกิดสันติภาพอันถาวรภายในปี 2016 ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่อากีโนสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี ทั้งนี้รัฐธรรมนูญของฟิลิปปินส์ฉบับปัจจุบันจำกัดการเป็นประธานาธิบดีไว้เพียงสมัยเดียว ทำให้มีความกังวลกันว่า ผู้นำแดนตากาล็อกคนต่อไปอาจไม่สามารถหรือไม่ต้องการผลักดันกระบวนการสันติภาพนี้ต่อไป
เอ็มไอแอลเอฟที่มีนักรบ 12,000 คน ได้ทำการต่อสู้มาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เพื่อแยกมินดาเนาเป็นรัฐเอกราช โดยที่บริเวณพื้นที่ประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศนี้ ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมบอกว่าเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของพวกตนตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษ ขณะที่ผู้คนส่วนข้างมากของฟิลิปปินส์เป็นชาวคริสต์นิกายคาทอลิก คาดกันว่า การสู้รบที่ดำเนินมาหลายสิบปีระหว่างรัฐบาลกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 150,000 คน ถึงแม้ได้เคยมีการทำข้อตกลงหยุดยิงกันเมื่อปี 2003 และยังคงมีการเคารพปฏิบัติตามข้อตกลงสงบศึกนี้เป็นส่วนใหญ่ก็ตามที
ในข้อตกลงแม่บทที่ลงนามกันเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เอ็มไอแอลเอฟบอกว่า จะยอมยกเลิกข้อเรียกร้องแยกตัวเป็นเอกราช โดยแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลจะประกาศเขตปกครองตนเองแห่งใหม่ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่จำนวนมากของมินดาเนา เขตปกครองตนเองนี้จะได้รับแบ่งปันจัดสรรอำนาจบริหารและทรัพยากรความมั่งคั่งต่างๆ
สี่เดือนหลังจากทางการมะนิลาร่วมลงนามในข้อตกลงโรดแมปสันติภาพ กับแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (เอ็มไอแอลเอฟ) อากีโนได้เดินทางไปยังที่มั่นของกลุ่มกบฏกลุ่มนี้ที่อยู่ทางใต้สุดของประเทศ เพื่อส่งเสริมเพิ่มพูนความเชื่อมั่นระหว่างกัน
“เรามีเวลาเหลือเพียง 3 ปีกับ 4 เดือน เราจึงต้องเร่งรัดทุกอย่างเพื่อให้สันติภาพครั้งนี้ยืนยงถาวร” อากีโนกล่าวบนเวทีคู่กับ มูรัด เอบรอฮิม ผู้นำเอ็มไอแอลเอฟ ที่บริเวณหน้าค่ายดาราพานัน ซึ่งเป็นฐานบัญชาการหลักที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาของเอ็มไอแอลเอฟ
ตามข้อตกลงแม่บท ทั้งสองฝ่ายจะต้องตกลงกันให้ได้เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้เกิดสันติภาพอันถาวรภายในปี 2016 ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่อากีโนสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี ทั้งนี้รัฐธรรมนูญของฟิลิปปินส์ฉบับปัจจุบันจำกัดการเป็นประธานาธิบดีไว้เพียงสมัยเดียว ทำให้มีความกังวลกันว่า ผู้นำแดนตากาล็อกคนต่อไปอาจไม่สามารถหรือไม่ต้องการผลักดันกระบวนการสันติภาพนี้ต่อไป
เอ็มไอแอลเอฟที่มีนักรบ 12,000 คน ได้ทำการต่อสู้มาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เพื่อแยกมินดาเนาเป็นรัฐเอกราช โดยที่บริเวณพื้นที่ประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศนี้ ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมบอกว่าเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของพวกตนตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษ ขณะที่ผู้คนส่วนข้างมากของฟิลิปปินส์เป็นชาวคริสต์นิกายคาทอลิก คาดกันว่า การสู้รบที่ดำเนินมาหลายสิบปีระหว่างรัฐบาลกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 150,000 คน ถึงแม้ได้เคยมีการทำข้อตกลงหยุดยิงกันเมื่อปี 2003 และยังคงมีการเคารพปฏิบัติตามข้อตกลงสงบศึกนี้เป็นส่วนใหญ่ก็ตามที
ในข้อตกลงแม่บทที่ลงนามกันเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เอ็มไอแอลเอฟบอกว่า จะยอมยกเลิกข้อเรียกร้องแยกตัวเป็นเอกราช โดยแลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลจะประกาศเขตปกครองตนเองแห่งใหม่ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่จำนวนมากของมินดาเนา เขตปกครองตนเองนี้จะได้รับแบ่งปันจัดสรรอำนาจบริหารและทรัพยากรความมั่งคั่งต่างๆ