ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้ควบคุมยาสูบ (ศจย.) มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว ที่สมาชิกองค์การอนามัยโลก ต้องดำเนินมาตรการควบคุมการบริโภคยาสูบตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ มาตรา 5.3 เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาสูบแทรกแซงนโยบายของรัฐ แต่ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการรองรับอนุสัญญาดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีเพิ่งเห็นชอบมาตรการในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านยาสูบ เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ต้องทำตามกรอบอนุสัญญา
ที่ผ่านมามาตรการควบคุมยาสูบของไทยยังไม่เข้มข้นพอ จึงไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติ
นายแพทย์หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย และประธานรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก มองว่า 4 ปีที่ไทยไม่สามารถดำเนินการได้ตามกรอบอนุสัญญา เป็นการเสียประโยชน์อย่างมาก ทำให้ปัจจุบันไทยถูกแทรกแซงจากบริษัทบุหรี่ข้ามชาติที่เข้ามาในรูปแบบการจัดตั้งองค์กรบังหน้า เพื่อชักจูงเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบให้ได้รับข้อมูลที่บิดเบือน โดยที่ไม่ได้ทำให้บริษัทเสียประโยชน์ และออกมาคัดค้านทุกมาตรการภาครัฐที่ควบคุมยาสูบ โดยเฉพาะร่างกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบฉบับใหม่ จึงเห็นว่าการปฏิบัติตามมาตรา 5.3 มีความจำเป็นที่ภาครัฐต้องเร่งผลักดันให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว
นายแพทย์หทัย ยังเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการเพื่อให้มีผลบังคับใช้ในทางสาธารณะ และแพร่หลายมากกว่าการบังคับใช้เพียงแค่บางหน่วยงาน และภาครัฐต้องเร่งผลักดันนโยบายที่ยังดำเนินการอยู่ ให้แล้วเสร็จ ได้แก่ การควบคุม การห้ามทำกิจกรรมซีเอสอาร์ และโฆษณาของบริษัทบุหรี่ และห้ามโฆษณาผ่านทางอินเทอร์เน็ตของผลิตภัณฑ์ยาสูบ การเพิ่มสิทธิหลักประกันการรักษาโรคติดบุหรี่ การบังคับใช้กฎหมายควบคุมยาสูบที่ผิดกฎหมาย และปราบปรามการลักลอบนำเข้าบุหรี่เถื่อน
ขณะที่ข้อมูลของ ศจย.ที่สำรวจความพึงพอใจเรื่องมาตรการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านยาสูบของรัฐ โดยมี 38 องค์กรสุขภาพเป็นผู้ประเมิน หลังครบ 6 เดือนที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการดังกล่าว พบว่าการดำเนินตามนโยบายยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เฉลี่ย 3.3 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 โดยหน่วยงานที่มีความพึงพอใจมากที่สุด คือกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความพึงพอใจน้อยที่สุด
ที่ผ่านมามาตรการควบคุมยาสูบของไทยยังไม่เข้มข้นพอ จึงไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติ
นายแพทย์หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย และประธานรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก มองว่า 4 ปีที่ไทยไม่สามารถดำเนินการได้ตามกรอบอนุสัญญา เป็นการเสียประโยชน์อย่างมาก ทำให้ปัจจุบันไทยถูกแทรกแซงจากบริษัทบุหรี่ข้ามชาติที่เข้ามาในรูปแบบการจัดตั้งองค์กรบังหน้า เพื่อชักจูงเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบให้ได้รับข้อมูลที่บิดเบือน โดยที่ไม่ได้ทำให้บริษัทเสียประโยชน์ และออกมาคัดค้านทุกมาตรการภาครัฐที่ควบคุมยาสูบ โดยเฉพาะร่างกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบฉบับใหม่ จึงเห็นว่าการปฏิบัติตามมาตรา 5.3 มีความจำเป็นที่ภาครัฐต้องเร่งผลักดันให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว
นายแพทย์หทัย ยังเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการเพื่อให้มีผลบังคับใช้ในทางสาธารณะ และแพร่หลายมากกว่าการบังคับใช้เพียงแค่บางหน่วยงาน และภาครัฐต้องเร่งผลักดันนโยบายที่ยังดำเนินการอยู่ ให้แล้วเสร็จ ได้แก่ การควบคุม การห้ามทำกิจกรรมซีเอสอาร์ และโฆษณาของบริษัทบุหรี่ และห้ามโฆษณาผ่านทางอินเทอร์เน็ตของผลิตภัณฑ์ยาสูบ การเพิ่มสิทธิหลักประกันการรักษาโรคติดบุหรี่ การบังคับใช้กฎหมายควบคุมยาสูบที่ผิดกฎหมาย และปราบปรามการลักลอบนำเข้าบุหรี่เถื่อน
ขณะที่ข้อมูลของ ศจย.ที่สำรวจความพึงพอใจเรื่องมาตรการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านยาสูบของรัฐ โดยมี 38 องค์กรสุขภาพเป็นผู้ประเมิน หลังครบ 6 เดือนที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการดังกล่าว พบว่าการดำเนินตามนโยบายยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เฉลี่ย 3.3 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 โดยหน่วยงานที่มีความพึงพอใจมากที่สุด คือกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความพึงพอใจน้อยที่สุด