จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ในพื้นที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก วานนี้ (4 ก.ค.) ส่งผลให้บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) สั่งปิดพื้นที่ทั้งหมดเป็นเวลา 30 วัน โดยให้หยุดเดินเครื่องของโรงกลั่นทั้งหมด เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์
ขณะที่การเปลี่ยนอุปกรณ์ของโรงกลั่นที่ 3 ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุนั้น คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการในส่วนนี้ไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
ทั้งนี้ ความเสียหายอยู่ที่บริเวณปล่องไฟ ขณะที่พื้นที่โดยรอบอยู่ในสภาพเรียบร้อย โดยระหว่างการปิดซ่อมแซมปรับปรุงโรงกลั่นที่ 3 ที่มีกำลังการผลิตวันละ 80,000 บาร์เรลนั้น จะมีการเดินเครื่องหอกลั่นที่ 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตวันละ 40,000 บาร์เรล พร้อมสั่งนำเข้าน้ำมันแก๊สโซลีน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงพื้นฐานผลิตแก๊สโซฮอล์ จากสิงคโปร์ประมาณเดือนละ 40-50 ล้านลิตร จากความต้องการใช้เดือนละ 80 ล้านลิตร เพื่อจะมาทดแทนกำลังการผลิตที่หายไป
การปิดดำเนินการหลังเหตุการณ์ ประเมินว่าส่งผลกระทบกับรายได้ปีนี้ของบริษัท ลดลงประมาณ 500-600 ล้านบาท แต่จะไม่กระทบกับการใช้น้ำมันในประเทศ เพราะบางจากยังมีคลังน้ำมันสำรองอยู่ที่บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา สุราษฎร์ธานี สมุทรสาคร ขอนแก่น รวมถึงเชียงใหม่ กำลังการผลิตรวม 5 ล้านบาร์เรล
โรงกลั่นบางจากแห่งนี้เพิ่งลงทุนครั้งใหญ่ไปเกือบ 40,000 ล้านบาท เมื่อ 3 ปีก่อน และเคยเกิดเหตุโรงแยกก๊าซรั่วเมื่อปีที่แล้ว ทำให้บริษัทเตรียมเพิ่มความเข้มงวดและการตรวจสอบโรงกลั่นทั่วประเทศ
ส่วนผลกระทบสารพิษจากการเผาไหม้นั้น เจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษได้ตรวจสอบพื้นที่รัศมี 7 กิโลเมตร พบก๊าซไนโตรเจนในอากาศอยู่ที่ระดับ 30 ppm จากค่าที่กำหนดไม่เกิน 160 ppm ซัลเฟอร์อยู่ที่ระดับ 8 ppm จากค่าที่กำหนดไม่เกิน 300 ppm ส่วนการตรวจสอบระบบน้ำเสียจากจุดระบายน้ำของโรงกลั่นไปสู่ลำคลอง ไม่พบว่ามีน้ำมันปนเปื้อน
อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำให้ประชาชนที่อยู่บริเวณรอบโรงกลั่น ไม่ควรเปิดแอร์ เพราะจะดูดสารดังกล่าวเข้าไป และควรสวมหน้ากากอนามัยไว้ป้องกันอาการอาเจียนและวิงเวียนศีรษะ
ขณะที่โรงเรียนโดยรอบโรงกลั่น กรุงเทพมหานครได้มีคำสั่งงดการเรียนการสอนเป็นเวลา 2 วัน
ขณะที่การเปลี่ยนอุปกรณ์ของโรงกลั่นที่ 3 ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุนั้น คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการในส่วนนี้ไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
ทั้งนี้ ความเสียหายอยู่ที่บริเวณปล่องไฟ ขณะที่พื้นที่โดยรอบอยู่ในสภาพเรียบร้อย โดยระหว่างการปิดซ่อมแซมปรับปรุงโรงกลั่นที่ 3 ที่มีกำลังการผลิตวันละ 80,000 บาร์เรลนั้น จะมีการเดินเครื่องหอกลั่นที่ 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตวันละ 40,000 บาร์เรล พร้อมสั่งนำเข้าน้ำมันแก๊สโซลีน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงพื้นฐานผลิตแก๊สโซฮอล์ จากสิงคโปร์ประมาณเดือนละ 40-50 ล้านลิตร จากความต้องการใช้เดือนละ 80 ล้านลิตร เพื่อจะมาทดแทนกำลังการผลิตที่หายไป
การปิดดำเนินการหลังเหตุการณ์ ประเมินว่าส่งผลกระทบกับรายได้ปีนี้ของบริษัท ลดลงประมาณ 500-600 ล้านบาท แต่จะไม่กระทบกับการใช้น้ำมันในประเทศ เพราะบางจากยังมีคลังน้ำมันสำรองอยู่ที่บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา สุราษฎร์ธานี สมุทรสาคร ขอนแก่น รวมถึงเชียงใหม่ กำลังการผลิตรวม 5 ล้านบาร์เรล
โรงกลั่นบางจากแห่งนี้เพิ่งลงทุนครั้งใหญ่ไปเกือบ 40,000 ล้านบาท เมื่อ 3 ปีก่อน และเคยเกิดเหตุโรงแยกก๊าซรั่วเมื่อปีที่แล้ว ทำให้บริษัทเตรียมเพิ่มความเข้มงวดและการตรวจสอบโรงกลั่นทั่วประเทศ
ส่วนผลกระทบสารพิษจากการเผาไหม้นั้น เจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษได้ตรวจสอบพื้นที่รัศมี 7 กิโลเมตร พบก๊าซไนโตรเจนในอากาศอยู่ที่ระดับ 30 ppm จากค่าที่กำหนดไม่เกิน 160 ppm ซัลเฟอร์อยู่ที่ระดับ 8 ppm จากค่าที่กำหนดไม่เกิน 300 ppm ส่วนการตรวจสอบระบบน้ำเสียจากจุดระบายน้ำของโรงกลั่นไปสู่ลำคลอง ไม่พบว่ามีน้ำมันปนเปื้อน
อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำให้ประชาชนที่อยู่บริเวณรอบโรงกลั่น ไม่ควรเปิดแอร์ เพราะจะดูดสารดังกล่าวเข้าไป และควรสวมหน้ากากอนามัยไว้ป้องกันอาการอาเจียนและวิงเวียนศีรษะ
ขณะที่โรงเรียนโดยรอบโรงกลั่น กรุงเทพมหานครได้มีคำสั่งงดการเรียนการสอนเป็นเวลา 2 วัน
