น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หารือทวิภาคีเต็มคณะกับ นายลี เมียง บัก ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี เกี่ยวกับการค้าการลงทุน การส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีด้านการเกษตร ความร่วมมือทางทหาร แรงงาน การท่องเที่ยว โดยทั้ง 2 ประเทศ ตกลงร่วมกันที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ในการแก้ปัญหาและการบริหารจัดการน้ำ หลีกเลี่ยงภัยธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก ให้ความร่วมมือสนับสนุนการสร้างระบบการจัดการบริหารทรัพยากรน้ำของไทย และจะร่วมลงนามข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการจัดการบริหารทรัพยากรน้ำ ขององค์กรที่เกี่ยวข้องจาก 2 ประเทศ
ส่วนความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน ไทยและสาธารณรัฐเกาหลี จะเดินหน้าการค้าระหว่างกันให้มีการขยายปริมาณการค้าเพิ่มขึ้นเป็น 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 5 ปี ระหว่างปี 2555-2559 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้รื้อฟื้นการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อช่วยผลักดันการค้า และขอให้สาธารณรัฐเกาหลี สนับสนุนการนำเข้าสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น ไก่สดแช่แข็ง ผลไม้ และเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมเครื่องจักรและผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมพลังงานและอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมต่อเรือและการขนส่งทางเรือ และอุตสาหกรรมภาพยนต์ รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านบริหารจัดการน้ำ และการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของไทย เช่น การพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงและเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงในภูมิภาค ที่สำคัญนายกรัฐมนตรีได้เชิญประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี เข้าร่วมการประชุม World Economic Forum on East Asia ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2555
ขณะที่ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ได้ขอความร่วมมือไทย จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมและศูนย์การศึกษาเกาหลีในปีนี้ ซึ่งทั้ง 2 ประเทศจะร่วมกันพัฒนาแลกเปลี่ยนประชาชน 2 ประเทศมากขึ้น และการจัดให้มีการฝึกอบรมภาษาเกาหลีให้กับมัคคุเทศก์ไทย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีของไทย และประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ได้เป็นสักขีพยาน การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางทหารระหว่างกระทรวงกลาโหมไทยกับกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อพัฒนาความมั่นคงทางทหารระหว่างกันด้วย
ส่วนความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน ไทยและสาธารณรัฐเกาหลี จะเดินหน้าการค้าระหว่างกันให้มีการขยายปริมาณการค้าเพิ่มขึ้นเป็น 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 5 ปี ระหว่างปี 2555-2559 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้รื้อฟื้นการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อช่วยผลักดันการค้า และขอให้สาธารณรัฐเกาหลี สนับสนุนการนำเข้าสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น ไก่สดแช่แข็ง ผลไม้ และเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมเครื่องจักรและผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมพลังงานและอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมต่อเรือและการขนส่งทางเรือ และอุตสาหกรรมภาพยนต์ รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านบริหารจัดการน้ำ และการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของไทย เช่น การพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงและเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงในภูมิภาค ที่สำคัญนายกรัฐมนตรีได้เชิญประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี เข้าร่วมการประชุม World Economic Forum on East Asia ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2555
ขณะที่ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ได้ขอความร่วมมือไทย จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมและศูนย์การศึกษาเกาหลีในปีนี้ ซึ่งทั้ง 2 ประเทศจะร่วมกันพัฒนาแลกเปลี่ยนประชาชน 2 ประเทศมากขึ้น และการจัดให้มีการฝึกอบรมภาษาเกาหลีให้กับมัคคุเทศก์ไทย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีของไทย และประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ได้เป็นสักขีพยาน การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางทหารระหว่างกระทรวงกลาโหมไทยกับกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อพัฒนาความมั่นคงทางทหารระหว่างกันด้วย
