น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน" ในวันนี้ว่า จะเดินหน้าในการดำเนินนโยบายแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 เพราะมั่นใจว่านโยบายดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างแน่นอน รวมถึงย้ำกับบรรดาเด็กๆ และเยาวชนที่เชิญมาร่วมรายการว่า รัฐบาลจะมีนโยบายในการพัฒนา ยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ทัดเทียมนานาชาติ ในโอกาสที่จะเปิดประเทศสู่เขตการค้าเสรีอาเซียนด้วย รวมถึงขอให้เด็ก และเยาวชน นำคำขวัญวันเด็ก "สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี" มาใช้ ในการพัฒนาตนเอง เพื่อประโยชน์ของตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ
นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ย้ำว่า การทำงานในทุกวันนี้ไม่มีการแบ่งแยกประชาชนว่าเป็นคนภาคไหน มีปัญหาในพื้นที่ใดก็ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เท่าเทียมกัน ทั้งน้ำท่วม หรือปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ อย่างเช่นการประท้วงของเกษตรชาวสวนยางที่ จ.สงขลา หรือการแก้ปัญหาที่จะตามมาจากการขึ้นราคาก๊าซ NGV เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ในช่วงระหว่างนี้มีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องทำต่อเนื่องอยู่ 2 เรื่องหลัก คือ การฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลด และการกอบกู้เศรษฐกิจให้ฟื้นกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด โดยล่าสุดได้มอบนโยบายให้รัฐมนตรีทุกคน เร่งเดินหน้าจัดสรรงบกลางมาฟื้นฟูในแต่ละพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด โดยเน้นผู้ว่าฯ ให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงนโยบายลงสู่พื้นที่แต่ละจังหวัด และนำความต้องการของประชาชน มาบูรณาการร่วมกัน
นอกจากนี้ ยังได้เน้นในเรื่องงบประมาณประจำปี 2555 ที่ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วนั้น ต่อจากนี้อีก 2 เดือนข้างหน้า ต้องเตรียมจัดทำแผนงบประมาณ ประจำปี 2556 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและเชื่อมโยงกันในการวางแผนพัฒนาแต่ละจังหวัด โดยกลุ่มจังหวัดแบ่งเป็นคลัสเตอร์ เพื่อเชื่อมโยงด้านการขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ำว่า ขอให้ผู้ว่าฯ ได้เร่งเบิกจ่ายงบฟื้นฟู เพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงถนน โรงเรียน โรงพยาบาล พื้นที่ทางการเกษตรที่เสียหายจากอุทกภัย ให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม รวมถึง แผนป้องกันน้ำท่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงกรณีกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติ NGV และ LPG อีก 50 สตางค์ ในวันที่ 16 มกราคมนี้ ว่า เป็นไปตามกรอบมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่เบื้องต้นมองว่า ราคา NGV ยังไม่เป็นไปตามกลไกตลาด แต่การปรับขึ้นก็ได้คำนึงถึงผลกระทบกับผู้ประกอบการ และค่าโดยสารที่จะตามมา โดยให้ทยอยขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ และล่าสุด ได้มีการหารือกับกลุ่มผู้ประกอบการ โดยมีบัตรส่วนลดให้ใน 4 เดือนแรก พร้อมตั้งกรรมการขึ้นมาหามาตรการช่วยเหลือระยะยาวต่อไป จากนั้นจะนำกลับมาหารือกันใน กพช. อีกครั้ง
นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ย้ำว่า การทำงานในทุกวันนี้ไม่มีการแบ่งแยกประชาชนว่าเป็นคนภาคไหน มีปัญหาในพื้นที่ใดก็ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เท่าเทียมกัน ทั้งน้ำท่วม หรือปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ อย่างเช่นการประท้วงของเกษตรชาวสวนยางที่ จ.สงขลา หรือการแก้ปัญหาที่จะตามมาจากการขึ้นราคาก๊าซ NGV เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ในช่วงระหว่างนี้มีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องทำต่อเนื่องอยู่ 2 เรื่องหลัก คือ การฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลด และการกอบกู้เศรษฐกิจให้ฟื้นกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด โดยล่าสุดได้มอบนโยบายให้รัฐมนตรีทุกคน เร่งเดินหน้าจัดสรรงบกลางมาฟื้นฟูในแต่ละพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด โดยเน้นผู้ว่าฯ ให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงนโยบายลงสู่พื้นที่แต่ละจังหวัด และนำความต้องการของประชาชน มาบูรณาการร่วมกัน
นอกจากนี้ ยังได้เน้นในเรื่องงบประมาณประจำปี 2555 ที่ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วนั้น ต่อจากนี้อีก 2 เดือนข้างหน้า ต้องเตรียมจัดทำแผนงบประมาณ ประจำปี 2556 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและเชื่อมโยงกันในการวางแผนพัฒนาแต่ละจังหวัด โดยกลุ่มจังหวัดแบ่งเป็นคลัสเตอร์ เพื่อเชื่อมโยงด้านการขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ำว่า ขอให้ผู้ว่าฯ ได้เร่งเบิกจ่ายงบฟื้นฟู เพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงถนน โรงเรียน โรงพยาบาล พื้นที่ทางการเกษตรที่เสียหายจากอุทกภัย ให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม รวมถึง แผนป้องกันน้ำท่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงกรณีกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติ NGV และ LPG อีก 50 สตางค์ ในวันที่ 16 มกราคมนี้ ว่า เป็นไปตามกรอบมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่เบื้องต้นมองว่า ราคา NGV ยังไม่เป็นไปตามกลไกตลาด แต่การปรับขึ้นก็ได้คำนึงถึงผลกระทบกับผู้ประกอบการ และค่าโดยสารที่จะตามมา โดยให้ทยอยขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ และล่าสุด ได้มีการหารือกับกลุ่มผู้ประกอบการ โดยมีบัตรส่วนลดให้ใน 4 เดือนแรก พร้อมตั้งกรรมการขึ้นมาหามาตรการช่วยเหลือระยะยาวต่อไป จากนั้นจะนำกลับมาหารือกันใน กพช. อีกครั้ง
