สภานายจ้าง ชงแรงงาน ผลิตอาชีพแม่บ้านครบวงจร หลังพบตลาดออฟฟิศต้องการเพิ่มกว่าเท่าตัว หวังรองรับแรงงานน้ำท่วมตกงานจำนวนมาก ชี้ ต้องปรับเปลี่ยนค่านิยมคนไทย
วานนี้ (9 ม.ค.) นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย เข้าพบ ว่า เป็นการเข้าหารือว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีความต้องการคนไปทำงานบ้านจำนวนมาก แต่คนไม่นิยมทำเท่าไหร่ ดังนั้น จึงมีแนวคิดที่จะปรับทัศนคติให้คนไทยหันมาทำอาชีพนี้มากขึ้น ซึ่งต้องมีการสำรวจลักษณะงาน ระยะเวลา และคุณสมบัติต่างๆ ของกลุ่มอาชีพนี้ จากนั้นต้องสร้างค่านิยมให้เป็นที่ยอมรับ โดยไม่มองว่าเป็นอาชีพที่ต่ำต้อย จนต้องมีการกดขี่ข่มเหงคนในกลุ่มอาชีพทำงานบ้าน โดยคนกลุ่มนี้ต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา รวมถึงสร้างนิสัยรักความปลอดภัย และความซื่อสัตย์ไว้วางใจให้กับผู้จ้างด้วย
ทั้งนี้ ในลักษณะงานที่มีความเสี่ยงต้องมีการจัดอบรม เพื่อให้ปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัย ซึ่งทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ต้องร่วมกันดึงผู้ว่างงานมาอบรม ผลิตคนทำงานบ้านที่มีคุณภาพ ให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งนายจ้างต้องการันตีความมั่นคงในการทำงานด้วย อย่างไรก็ตาม มองว่า อาชีพทำงานที่บ้าน เป็นหนึ่งอาชีพที่มีเงินเก็บมากที่สุด หากรู้จักออม เพราะค่าใช้จ่ายต่างส่วนใหญ่นายจ้างจะเป็นผู้รับผิดชอบ
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวอีกว่า โครงการนี้หากทำสำเร็จ นายจ้างก็จะได้ประโยชน์ ทั้งคนงานที่มีคุณภาพ ซื่อสัตย์ ขณะที่คนงานก็จะมีความมั่นคงในการทำงาน มีรายได้ที่ชัดเจน และทำงานอย่างปลอดภัย โดยไม่ถูกดขี่ข่มเหง ซึ่งโครงการนี้ต้องมีการหารือกันอีกครั้ง เพื่อหาข้อสรุปและทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจน โดยจะเชิญองค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ไอแอลโอ มาร่วมด้วย
น.ส.สิริวัน ร่มฉัตรทอง สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะงานด้านการบริหารงานบ้านและสำนักงานเพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว จึงมองว่า ควรจะมีระบบการผลิตแรงงานกลุ่มนี้อย่างจริงจังเป็นมาตรฐาน และมีประสิทธิภาพ ซึ่งกระทรวงแรงงานมีศักยภาพในการพัฒนาอบรม
ทั้งนี้ สภานายจ้างฯได้เสนอจัดหลักสูตรเพื่อร่วมกับกระทรวงแรงงาน โดยมีต้นแบบจากสถานบันฝึกอบรมพ่อบ้านแม่บ้านระดับมืออาชีพ (butier academy) ซึ่งครอบคลุมการปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ใช้แรงงาน ภายใต้ชื่อโปรแกรม Estate Management Studies) ที่เป็นหลักสูตระยะสั้น โดยหลักสูตรนี้สามารถรองรับแรงงานที่ตกงานจากสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมาได้จำนวนมาก
นางสาวสิริวัน กล่าวต่อไปว่า ในเบื้องต้นต้องประสานไปยังองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) ในการจัดทำเวิร์กชอป เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติของแรงงานให้มองเห็นคุณค่าของงานอาชีพแม้บ้านที่เป็นอาชีพทำเงินได้อีกประเภทหนึ่ง นอกจากนี้ ได้ขอให้ทางกรมการจัดหางานสำรวจตัวเลขความต้องการของตลาดแม่บ้านที่ชัดเจน เพื่อสามารถจัดทำหลักสูตรอบรมได้เพียงพอกับความต้องการ
ทั้งนี้ สำหรับข้อมูลจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) แรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า มีแรงงานที่ทำงานแม่บ้านในประเทศประมาณ 2.2แสนคน มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 1.1 พันล้านบาท ขณะที่มีแรงงานข้ามชาติที่ทำงานแม่บ้านประมาณ 1.5 แสนคน มีเม็ดเงินหมุนเวียน 9 พันล้านบาท และคนไทยที่ไปทำงานแม่บ้านในต่างประเทศ ประมาณ 2.5 หมื่นคน นำเม็ดเงินเข้าประเทศกว่า 7 พันล้านบาท
วานนี้ (9 ม.ค.) นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย เข้าพบ ว่า เป็นการเข้าหารือว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีความต้องการคนไปทำงานบ้านจำนวนมาก แต่คนไม่นิยมทำเท่าไหร่ ดังนั้น จึงมีแนวคิดที่จะปรับทัศนคติให้คนไทยหันมาทำอาชีพนี้มากขึ้น ซึ่งต้องมีการสำรวจลักษณะงาน ระยะเวลา และคุณสมบัติต่างๆ ของกลุ่มอาชีพนี้ จากนั้นต้องสร้างค่านิยมให้เป็นที่ยอมรับ โดยไม่มองว่าเป็นอาชีพที่ต่ำต้อย จนต้องมีการกดขี่ข่มเหงคนในกลุ่มอาชีพทำงานบ้าน โดยคนกลุ่มนี้ต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา รวมถึงสร้างนิสัยรักความปลอดภัย และความซื่อสัตย์ไว้วางใจให้กับผู้จ้างด้วย
ทั้งนี้ ในลักษณะงานที่มีความเสี่ยงต้องมีการจัดอบรม เพื่อให้ปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัย ซึ่งทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ต้องร่วมกันดึงผู้ว่างงานมาอบรม ผลิตคนทำงานบ้านที่มีคุณภาพ ให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งนายจ้างต้องการันตีความมั่นคงในการทำงานด้วย อย่างไรก็ตาม มองว่า อาชีพทำงานที่บ้าน เป็นหนึ่งอาชีพที่มีเงินเก็บมากที่สุด หากรู้จักออม เพราะค่าใช้จ่ายต่างส่วนใหญ่นายจ้างจะเป็นผู้รับผิดชอบ
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวอีกว่า โครงการนี้หากทำสำเร็จ นายจ้างก็จะได้ประโยชน์ ทั้งคนงานที่มีคุณภาพ ซื่อสัตย์ ขณะที่คนงานก็จะมีความมั่นคงในการทำงาน มีรายได้ที่ชัดเจน และทำงานอย่างปลอดภัย โดยไม่ถูกดขี่ข่มเหง ซึ่งโครงการนี้ต้องมีการหารือกันอีกครั้ง เพื่อหาข้อสรุปและทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจน โดยจะเชิญองค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ไอแอลโอ มาร่วมด้วย
น.ส.สิริวัน ร่มฉัตรทอง สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะงานด้านการบริหารงานบ้านและสำนักงานเพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว จึงมองว่า ควรจะมีระบบการผลิตแรงงานกลุ่มนี้อย่างจริงจังเป็นมาตรฐาน และมีประสิทธิภาพ ซึ่งกระทรวงแรงงานมีศักยภาพในการพัฒนาอบรม
ทั้งนี้ สภานายจ้างฯได้เสนอจัดหลักสูตรเพื่อร่วมกับกระทรวงแรงงาน โดยมีต้นแบบจากสถานบันฝึกอบรมพ่อบ้านแม่บ้านระดับมืออาชีพ (butier academy) ซึ่งครอบคลุมการปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ใช้แรงงาน ภายใต้ชื่อโปรแกรม Estate Management Studies) ที่เป็นหลักสูตระยะสั้น โดยหลักสูตรนี้สามารถรองรับแรงงานที่ตกงานจากสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมาได้จำนวนมาก
นางสาวสิริวัน กล่าวต่อไปว่า ในเบื้องต้นต้องประสานไปยังองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) ในการจัดทำเวิร์กชอป เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติของแรงงานให้มองเห็นคุณค่าของงานอาชีพแม้บ้านที่เป็นอาชีพทำเงินได้อีกประเภทหนึ่ง นอกจากนี้ ได้ขอให้ทางกรมการจัดหางานสำรวจตัวเลขความต้องการของตลาดแม่บ้านที่ชัดเจน เพื่อสามารถจัดทำหลักสูตรอบรมได้เพียงพอกับความต้องการ
ทั้งนี้ สำหรับข้อมูลจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) แรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า มีแรงงานที่ทำงานแม่บ้านในประเทศประมาณ 2.2แสนคน มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 1.1 พันล้านบาท ขณะที่มีแรงงานข้ามชาติที่ทำงานแม่บ้านประมาณ 1.5 แสนคน มีเม็ดเงินหมุนเวียน 9 พันล้านบาท และคนไทยที่ไปทำงานแม่บ้านในต่างประเทศ ประมาณ 2.5 หมื่นคน นำเม็ดเงินเข้าประเทศกว่า 7 พันล้านบาท
