นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวในงานสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 2 นำเสนอผลการศึกษาแผนแม่บทเพื่อพัฒนาระบบราง และรถไฟความเร็วสูง ว่าปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. มีระบบรางอยู่ทุกภาคทั่วประเทศ กว่า 4,400 กิโลเมตร ที่ใช้ขนส่งสินค้าได้ แต่มีระบบทางคู่ ซึ่งอยู่ในรัศมีจากกรุงเทพฯ ประมาณ 100-200 กิโลเมตรเท่านั้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการขนส่งทางรางค่อนข้างน้อย รัฐบาลจึงเร่งดำเนินการเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของระบบราง เพื่อพัฒนาเส้นทางรถไฟให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
โดยในเดือนมีนาคมนี้ กระทรวงคมนาคมจะเสนอแผนดังกล่าวต่อ สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จากนั้นจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อแจ้งกระทรวงการคลัง ว่ากระทรวงคมนาคมมีแผนจะใช้งบประมาณในแต่ละปีอย่างไร เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2552 แล้ว 153,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุน ทั้งนี้ยืนยันว่า ภายในปี 2553 โครงการดังกล่าวจะเริ่มเดินหน้า ซึ่งภายใน 5 ปี โครงการดังกล่าวจะทำให้อัตราการขนส่งสินค้าของประเทศ ลดลงจากร้อยละ 18 เหลือร้อยละ 14 แต่กระทรวงคมนาคมตั้งเป้าอยู่ที่ระดับ ร้อยละ 10-12
สำหรับแผนพัฒนาระยะที่ 2 ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จะเดินหน้าพัฒนาระบบรางคู่ทั่วประเทศ ประมาณ 1,000 กิโลเมตร ซึ่งจะทำให้ระบบรางคู่ รวมถึงการพัฒนาการรถไฟฯ โดยใช้ระบบบิสซิเนสยูนิต เพื่อลดขั้นตอนในการทำงาน ทำให้การรถไฟฯ บริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำการปรับปรุงระบบการเดินรถ ระบบเบรค ระบบอาณัติสัญญาณ จากปัจจุบันรถไฟใช้ความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 80 - 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การควบคุมการเข้า-ออกของขบวนรถ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่สำคัญปรับปรุงจุดตัด กว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ โดยยอมรับว่า ปัจจุบันมีจุดตัดกว่า 1,000 แห่งที่ยังไม่มีการติดตั้งเครื่องกั้นและระบบอาณัติสัญญาณ ซึ่งทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
โดยในเดือนมีนาคมนี้ กระทรวงคมนาคมจะเสนอแผนดังกล่าวต่อ สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จากนั้นจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อแจ้งกระทรวงการคลัง ว่ากระทรวงคมนาคมมีแผนจะใช้งบประมาณในแต่ละปีอย่างไร เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2552 แล้ว 153,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุน ทั้งนี้ยืนยันว่า ภายในปี 2553 โครงการดังกล่าวจะเริ่มเดินหน้า ซึ่งภายใน 5 ปี โครงการดังกล่าวจะทำให้อัตราการขนส่งสินค้าของประเทศ ลดลงจากร้อยละ 18 เหลือร้อยละ 14 แต่กระทรวงคมนาคมตั้งเป้าอยู่ที่ระดับ ร้อยละ 10-12
สำหรับแผนพัฒนาระยะที่ 2 ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จะเดินหน้าพัฒนาระบบรางคู่ทั่วประเทศ ประมาณ 1,000 กิโลเมตร ซึ่งจะทำให้ระบบรางคู่ รวมถึงการพัฒนาการรถไฟฯ โดยใช้ระบบบิสซิเนสยูนิต เพื่อลดขั้นตอนในการทำงาน ทำให้การรถไฟฯ บริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำการปรับปรุงระบบการเดินรถ ระบบเบรค ระบบอาณัติสัญญาณ จากปัจจุบันรถไฟใช้ความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 80 - 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การควบคุมการเข้า-ออกของขบวนรถ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่สำคัญปรับปรุงจุดตัด กว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ โดยยอมรับว่า ปัจจุบันมีจุดตัดกว่า 1,000 แห่งที่ยังไม่มีการติดตั้งเครื่องกั้นและระบบอาณัติสัญญาณ ซึ่งทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
