นายเอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์ คณบดีคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า กล่าวในงานสัมมนา "เกาะติดวิกฤตเศรษฐกิจ วิเคราะห์แนวโน้มตลาดหุ้นปี 2553" ระบุว่า เศรษฐกิจในปีนี้ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตา 10 ปัจจัย แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุด คือ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ที่มีความไม่แน่นอน และผลกระทบจากปัญหาการชะลอการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งหากแก้ไขไม่สำเร็จ ในกรณีเลวร้ายที่สุด จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP หดตัวร้อยละ 2 จากที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3 จะเหลือเพียงร้อยละ 1 จึงต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยอื่นๆ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจถดถอยอีกครั้ง ราคาน้ำมันที่จะสูงกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ค่าเงินบาทแข็งค่า ปัญหาการก่อการร้าย หนี้สาธารณะที่เร่งตัวสูงขึ้น ปัญหาฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์ มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจากภายในและภายนอก โดยปัจจัยภายในประเทศ คือ ปัญหาการเมือง และการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง จากประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น โดยเฉพาะหากสถานการณ์ทางการเมืองรุนแรง จนมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล อาจทำให้นโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสะดุดลง ดัชนีตลาดหุ้นไทยจึงมีโอกาสปรับตัวลดลง ซึ่งประเมินจุดต่ำสุดของปีนี้ ที่ 540 จุด ขณะที่กรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ จะอยู่ที่ระดับ 550-880 จุด
ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ให้น้ำหนักกับสถานการณ์การเมืองที่จะกดดันหุ้นไทยลดลง เห็นได้ชัดจากวานนี้ ( 26 ม.ค.) ในช่วงที่มีข่าวพรรคประชาธิปัตย์ไม่รวมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้หุ้นไทยลดลง ดังนั้น ขอให้นักลงทุนมีสติและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ต้องดูต้นทุนของตนเองว่า สามารถถือหุ้นในระยะยาวได้หรือไม่ รวมทั้งเลือกลงทุนในหุ้นปันผลป้องกันความเสี่ยง
ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยอื่นๆ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจถดถอยอีกครั้ง ราคาน้ำมันที่จะสูงกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ค่าเงินบาทแข็งค่า ปัญหาการก่อการร้าย หนี้สาธารณะที่เร่งตัวสูงขึ้น ปัญหาฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์ มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจากภายในและภายนอก โดยปัจจัยภายในประเทศ คือ ปัญหาการเมือง และการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง จากประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น โดยเฉพาะหากสถานการณ์ทางการเมืองรุนแรง จนมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล อาจทำให้นโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสะดุดลง ดัชนีตลาดหุ้นไทยจึงมีโอกาสปรับตัวลดลง ซึ่งประเมินจุดต่ำสุดของปีนี้ ที่ 540 จุด ขณะที่กรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ จะอยู่ที่ระดับ 550-880 จุด
ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ให้น้ำหนักกับสถานการณ์การเมืองที่จะกดดันหุ้นไทยลดลง เห็นได้ชัดจากวานนี้ ( 26 ม.ค.) ในช่วงที่มีข่าวพรรคประชาธิปัตย์ไม่รวมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้หุ้นไทยลดลง ดังนั้น ขอให้นักลงทุนมีสติและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ต้องดูต้นทุนของตนเองว่า สามารถถือหุ้นในระยะยาวได้หรือไม่ รวมทั้งเลือกลงทุนในหุ้นปันผลป้องกันความเสี่ยง