..... ก็บอกว่าเขาเข้าใจดีแล้วทุกอย่าง จะเรียบร้อย ไม่มีปัญหา ดูที่เจตนา แต่ก็ได้เห็นแล้วว่า คำพูดกับการกระทำของรัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของนายกฯ ฮุน เซน คำพูดกับการกระทำมันไม่แมตช์กันเลย มันไม่สอดคล้องกัน ดังสะท้อนให้เห็นล่าสุดคือ แถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชา ลงวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา ดังนั้นการตอบโต้ของฝ่ายไทยไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ แล้วเข้าใจว่า Nes Hour อ่านข้อความทั้งหมดตั้งแต่ข้อ 1-5.3 ให้ท่านผู้ชมได้ฟังแล้ว เพราะฉะนั้นมาตรการอันนี้ผมคิดว่าเป็นมาตรการเบื้องต้นที่เหมาะสม และชอบด้วยเหตุผล และมีน้ำหนัก เป็นการตอบโต้ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้
เรียกทูตกลับและทบทวนความร่วมมือต่างๆ
- ถูกต้อง ผมอยากจะชี้ในประเด็นข้อ 3. ที่บอกว่า การแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา และที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทย ผมอยากจะขยายความเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชน คือ ถ้าคุณทักษิณไม่ได้เป็นนักโทษ ไม่ได้หนีคำพิพากษา และไม่ได้เป็นบุคคล นักการเมืองที่เคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศ บ่อนทำลายประเทศไทย ชักใย เชื้อเชิญให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทย คงไม่มีปัญหา เพราะในอดีตก็มีคนไทยหลายคนที่เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับลาวก็เคยเป็น ที่ปรึกษาให้กับหลายประเทศก็เคยเป็น ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ แต่กรณีคุณทักษิณ คุณทักษิณไม่ใช่บุคคลธรรมดา หรือที่ปรึกษาธรรมดา แต่มีสถานะเป็นบุคคลที่มีปัญหากับประเทศไทย กับรัฐบาลไทย กับประชาชนไทย และเป็นนักโทษหนีคำพิพากษา และยังเคลื่อนไหวอยู่ในต่างประเทศที่บ่อนทำลายประเทศไทย ฉะนั้นการที่ฮุน เซน แต่งตั้งเขาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวนายกรัฐมนตรีกัมพูชา อันนี้ไม่ใช่การแต่งตั้งธรรมดา อันนี้เป็นการยืนยันให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ฮุน เซน เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองไทยโดยตรง ต้องการแทรกแซง และต้องการปกป้องคุณทักษิณ
ในเชิงวิเคราะห์ท่านทูตสุรพงษ์คิดว่ากัมพูชาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรตามมา
- ในชั้นนี้ผมคิดว่า ในเมื่อเราดำเนินการอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกประเทศ ในทางการทูต ทุกประเทศที่มีปัญหาในลักษณะนี้ ขั้นตอนในเบื้องต้นจะทำอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะว่า ไทยจะทำอะไรต่อไปไม่ใช่อยู่ที่ฝ่ายไทยว่าเราจะทำอะไรต่อไป แต่อยู่ที่ปฏิกิริยา ครั้งนี้การทำของเรา ปฏิกิริยาตอบโต้การกระทำ และท่าทีของฝ่ายเขมร เพราะฉะนั้นต่อไปเราจะทำอะไรคงไม่ใช่อยู่ที่เรา อยู่ที่ฝ่ายเขมรว่า เท่านี้เราส่งสัญญาณชัดเจนแล้ว คุณยังเอาเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวอยู่เหนือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ และการกระทำของคุณอันนี้ ทางฝ่ายไทยแจ้งแล้วที่ทำอย่างนี้เพราะว่ารัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยของไทยเราก็ต้องฟังประชาชน ต้องตอบสนองความรู้สึกประชาชน เพราะฉะนั้นทั้งหมด ฮุน เซน ถ้าไม่มีวาระซ่อนเร้นอะไรเขาต้องเข้าใจแล้วว่า เรื่องนี้ต้องไม่ให้มีความรุนแรงไปมากกว่านี้ หรือไม่ให้มีความเลวร้ายไปมากกว่านี้ ต้องพยายามปรับความสัมพันธ์ ปรับความเข้าใจ และมีท่าทีที่สอดคล้องกับคำพูดของเขา แต่ถ้าเขายังดำเนินการต่อไป มันก็เป็นไปได้ เช่น เขาอาจจะเรียกทูตเขากลับ เป็นการตอบโต้เรา เพื่อไปหารือข้อราชการ อ้างอะไรก็แล้วแต่ หรือมิฉะนั้นเขาอาจจะสร้างสถานการณ์ที่ชายแดนก็ได้ หรือเขาอาจจะเอาคนของเขามาประท้วง สร้างความรุนแรงให้กับคนไทยในกัมพูชา สถานทูตไทยก็เคยโดนเผามาแล้ว มาตรการเหล่านี้เขาอาจจะดำเนินการก็ได้ เพราะฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาท ผมก็เชื่อ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยย่อมตระหนักในประเด็นพวกนี้อยู่แล้ว
ในแง่ของระดับการตอบโต้ หรือการประท้วงทางการทูตที่เราทำวันนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุดหรือยัง
- ไม่หรอกครับ มันยังมีมาตรการอีกหลายด้านมากที่สามารถจากเบาเป็นหนักได้ ในเมื่อเรา เราต้องการให้คนกัมพูชา ให้คนไทย และให้รัฐบาลกัมพูชา ได้รู้ว่าการตอบโต้ของเรา เราไม่ใช่ตอบโต้เพื่อจะตัดความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่เราตอบโต้เพราะเราจำเป็นต้องตอบโต้ เพราะการกระทำของเขาได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทย ให้กับคนไทย ให้กับกระบวนการยุติธรรมไทย และได้สร้างความไร้เสถียรภาพให้แก่การเมืองไทย ด้วยการตอกลิ่มสร้างความแตกแยกในประเทศไทย เพราะฉะนั้นเราก็เชื่อว่า เราหวังว่ามาตรการอันนี้น่าจะเป็นสัญญาณที่ทำให้เขาได้ฉุกคิด แต่แน่นอน ถ้าฝ่ายกัมพูชาโดยเฉพาะนายกฯ ฮุน เซน มีวาระของเขาอยู่แล้ว มีวาระซ่อนเร้นของเขาอยู่แล้วอย่างที่เราทราบกัน แน่นอน แนวโน้ม เพื่อความไม่ประมาท เราควรจะคาดการณ์ได้ว่าเขาคงจะทำอะไรมากกว่านี้ เพื่อยั่วยุเราเพิ่มเติม เพราะฉะนั้นมาตรการที่รุนแรงมันมี คือทางการทูต มาตรการที่รุนแรงที่สุดคือ ในที่สุดตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน หรืออาจนำไปสู่ระงับก่อน ถ้าไม่มีผลเตือนสติได้ ก็สามารถในที่สุดก็ตัดได้ แต่อันนี้มีข้อเสีย เพราะทุกประเทศเมื่อมีปัญหาระหว่างกันต้องพยายามรักษาช่องทางการติดต่อกันไว้ เพราะถ้าตัดความสัมพันธ์หมายความว่า ทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างไม่มีผู้แทนกันในประเทศของตน เพราะฉะนั้นการติดต่อจะกระทำได้ยากกว่า เพราะต้องติดต่อบุคคลที่สาม หรือประเทศที่สาม ซึ่งมันทำให้เรื่องอาจจะยืดเยื้อ และสร้างความสับสนได้มากกว่าที่จะติดต่อกันเองโดยตรง
ในสายตาของเพื่อนบ้านอาเซียน มาตรการตอบโต้ของไทยเป็นที่เข้าใจได้หรือไม่
- แน่นอน เพราะเท่าที่ผมทราบ มิตรประเทศอาเซียนทั้งหลายเขาก็มึนงง เขาก็ไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้นกับคุณฮุน เซน เขารู้ว่ามีปัญหา และคุณฮุน เซนมีท่าทีอย่างไรกับคุณทักษิณ และท่าทีอย่างไรต่อการเมืองในประเทศไทย แต่เขาไม่คาดคิดเลย ทุกประเทศอาเซียน อีก 8 ประเทศ เขาก็งง เขาไม่นึกว่าฮุน เซนจะออกมาอย่างนี้ ประชาคมระหว่างประเทศ ประชาคมโลกโดยทั่วไป อีก 192 ประเทศ คืออันนี้มันนอกตำรามาก เพราะฉะนั้นเขาก็มึนงงมาก ซึ่งอันนี้ แล้วเขายังมองประเทศไทยว่ามีความเป็นผู้ใหญ่ มีความสุขุม และเป็นนโยบายที่ไม่คิดจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกัน และประเทศไทยได้ใช้ผู้นำไทย ไม่ว่าจะเป็นท่านนายกฯ บุคคลในรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ได้พยายามครองสติ และมีปฏิกิริยาด้วยการมีสติ ซึ่งอันนี้ต่างชาติเขาก็เห็น และเขาก็ยังรู้สึกประทับใจที่ไทยมีท่าทีที่ไม่ใช่ท่าทีที่ปราศจากสติ
กระทรวงการต่างประเทศต้องสื่อสารต่อประชาคมนานาชาติให้ดีว่าที่เราตอบโต้อย่างนี้เป็นเพราะสถานะของคุณทักษิณนั้นเป็นอย่างไร
- วิธีการอันหนึ่งก็ กระทรวงการต่างประเทศ แน่นอน กรมที่เกี่ยวข้องจะต้องมีโทรเลขแจ้งสถานทูต 70 กว่าแห่งในโลกให้รู้ข้อเท็จจริง และแนวทางการชี้แจง และแนวทางชี้แจงทันทีได้ เขาจะแปลแถลงข่าวของกรมสารนิเทศเป็นภาษาอังกฤษ เข้าใจว่าอาจจะเสร็จแล้ว และเราจะไปเวียนให้ทุกสถานทูตในประเทศไทย และส่งให้สถานทูตเราในต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการชี้แจงเบื้องต้น
ลักษณะแบบเดียวกัน กรณีการแทรกแซงกิจการภายในแบบที่คุณฮุน เซนทำ ในเคสของต่างประเทศเวลาตอบโต้รุนแรงมากน้อยแค่ไหน
- ส่วนใหญ่อย่างที่ผมบอก เขามักจะ ในเบื้องต้นสิ่งที่เราทำอยู่ ในเบื้องต้นคืออันนี้ ต่อไปอย่างที่ผมบอก ฮุน เซนอาจจะหาทางตอบโต้เรา เช่น เรียกทูตกลับ หรืออย่างที่ผมบอก ชายแดนก็ดี หรือสถานทูตไทยที่ประเทศเขาก็ดี อาจจะปลุกระดมความรู้สึกชาตินิยมอะไรขึ้นมา อาจจะไม่เผาสถานทูตแต่อาจจะมีการขว้างก้อนหิน ทำให้อาคารเราเสียหาย สิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้ อย่างที่ท่านนายกฯ ได้เน้นวันนี้ ผมคิดว่าสำคัญมากกว่า แถลงการณ์อันนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับประชาชน แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล
แต่ว่าลำดับต่อจากนี้ไป คือ เรื่องกองกำลังตามแนวชายแดน เรื่องการรักษาความปลอดภัยสถานทูตเราที่กัมพูชา หรือไม่ก็ธุรกิจไทยในกัมพูชา
- ถ้าเป็นรัฐบาล ผมก็หวังว่า ปกติเวลาประเทศหนึ่งมีปัญหา อีกประเทศหนึ่ง โดยทั้ง 2 ประเทศมีสัมพันธ์ทางการทูตกัน มันก็มีอนุสัญญาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ที่เขาเรียกอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต มันมีอยู่แล้ว ที่แนวทางปฏิบัติที่ทั้งประเทศผู้รับ และประเทศผู้ส่งต้องปฏิบัติตาม เช่น ถ้ามีปัญหากัน ฝ่ายกัมพูชาเอง เหมือนกับฝ่ายไทย เราเองก็ต้องให้ความคุ้มครองกับนักการทูตของตน เช่น กรณีของเรา ที่มีพี่น้องบางกลุ่มที่ไปประท้วงหน้าสถานทูตกัมพูชา ฝ่ายไทยเอง บ้านเมืองตำรวจเอง ก็ได้ไปให้ความอารักขาสถานทูตเขา เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง แต่ก็ไม่ได้กีดกันคนไทยที่จะชุมนุมประท้วง ชูป้ายอะไรก็แล้วแต่ อันนั้นก็เป็นสิทธิของคนไทยที่จะทำ
ฉันท์ใดฉันท์นั้น กรณีที่คนกัมพูชา สมมติ เขาไปประท้วงที่สถานทูตไทยที่กัมพูชา เขาก็มีสิทธิ์ทำในประเทศของเขา แต่ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ ของตำรวจ ทหาร และหน่วยงานที่รักษาความปลอดภัย ความมั่นคง ของกัมพูชา ก็ต้องให้ความคุ้มครอง อารักขา ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่การทูตของเรา และตึกอาคารที่เป็นสมบัติของรัฐบาลไทย
กรณีถ้ากัมพูชาต้องการคืนความสัมพันธ์ที่ดีกลับดังเดิม ต้องทำระดับไหน แถลงการณ์ออกมาเป็นทางการหรือยังไง หรือขอโทษ
- มีหลายรูปแบบ ถ้าเขาจะออกมาในรูปแถลงการณ์ของเขาก็ได้ หรือจะออกมาในรูปเชิงเพื่อไม่ให้เรื่องนี้บานปลาย เพื่อรักษาน้ำใจ รักษาหน้ากัน เขาก็อาจเชิญทูตเราไปหา และยื่นหนังสือ หรือคำชี้แจงของเขาออกมา หรือแถลงการณ์ของเขา อธิบายให้ทูตเราฟังว่า เจตนาของเขาไม่ได้ต้องการสร้างความวุ่นวาย หรือความไร้เสถียรภาพให้กับการเมืองไทย ชี้แจงให้เหตุผล และอยากเห็นความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา กลับสู่สภาพปกติเหมือนเดิม เขาก็สามารถทำได้ โดยเชิญทูตเราไปพบ และพูดด้วยวาจา พร้อมยื่นเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้ และท่านทูตต้องรายงานมายังกระทรวงการต่างประเทศ
อันนี้ก็เป็นวิธีการหนึ่ง หรือ อาจเป็นวิธีการที่ ฮุน เซน ให้สัมภาษณ์ก็ได้ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ หรือสื่อเขา เขามีสื่อในครอบครองที่รัฐดูแลเป็นเจ้าของ และรัฐควบคุมอยู่แล้ว เขาก็สามารถที่จะให้สื่อของเขา เป็นหน้าม้า และป้อนคำถามในทางที่เขาต้องการ ที่จะมีคำตอบให้เป็นข่าว และเป็นสื่อถึงรัฐบาลไทย ให้ถึงประเทศไทย ให้คนไทยรู้ว่า เขาคิดอย่างไร มันหลายรูปแบบที่จะทำได้
ถือว่ามาตรการตอบโต้ครั้งนี้ ถ้ามองแง่การเมือง และทำให้ภาพลักษณ์ภาวะความเป็นผู้นำของนายกฯดูเด่นชัดขึ้น
- แน่นอนครับ และเป็นผลดีกับประเทศไทย ในสายตาประชาคมโลกด้วย ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยึดมั่นในกฎกติการะหว่างประเทศ เพราะฉะนั้น และอีกอย่าง เราพูดถึงประชาคมระหว่างประเทศ อันนั้นก็สำคัญ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือรัฐบาล ในข้อนี้ คงจะเห็นแล้ว รัฐบาลจำเป็นต้องฟังประชาชนทั้งประเทศ อันนี้ก็เป็นการส่งสัญญาณให้กับต่างประเทศรู้ว่า นี่คือรัฐบาลระบอบประชาธิปไตย และให้ฮุน เซน รู้ว่า แบบประชาธิปไตยของไทย มันไม่เหมือนกับใช้ใจของฮุน เซน ฮุน เซน อาจไม่จำเป็นต้องฟังประชาชนของเขา เขาทำอะไรก็ได้ แต่สำหรับไทย ข้อ 4 มีความสำคัญมาก
เพราะฉะนั้น มันเป็นสิ่งที่ต่างชาติคิดยังไง ไม่เท่ากับคนไทยส่วนใหญ่ในประเทศ รัฐบาลปัจจุบันนี้สามารถสื่อและสร้างความเข้าใจ รับฟังความเห็นประชาชน คนในชาติเข้าใจรัฐบาล อันนี้ คือความแข็งแกร่งของการทูต และนโยบายต่างประเทศ เมื่อได้รับความเห็นใจ เข้าใจ และสนับสนุนจากคนในชาติเป็นสำคัญ ต่างชาติเป็นประเด็นรองมาก คนในชาติต้องมาอันดับ 1 ครับ
ขอบคุณมาก ท่านทูตสุรพงษ์ ครับ
เรียกทูตกลับและทบทวนความร่วมมือต่างๆ
- ถูกต้อง ผมอยากจะชี้ในประเด็นข้อ 3. ที่บอกว่า การแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา และที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทย ผมอยากจะขยายความเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชน คือ ถ้าคุณทักษิณไม่ได้เป็นนักโทษ ไม่ได้หนีคำพิพากษา และไม่ได้เป็นบุคคล นักการเมืองที่เคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศ บ่อนทำลายประเทศไทย ชักใย เชื้อเชิญให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทย คงไม่มีปัญหา เพราะในอดีตก็มีคนไทยหลายคนที่เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับลาวก็เคยเป็น ที่ปรึกษาให้กับหลายประเทศก็เคยเป็น ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ แต่กรณีคุณทักษิณ คุณทักษิณไม่ใช่บุคคลธรรมดา หรือที่ปรึกษาธรรมดา แต่มีสถานะเป็นบุคคลที่มีปัญหากับประเทศไทย กับรัฐบาลไทย กับประชาชนไทย และเป็นนักโทษหนีคำพิพากษา และยังเคลื่อนไหวอยู่ในต่างประเทศที่บ่อนทำลายประเทศไทย ฉะนั้นการที่ฮุน เซน แต่งตั้งเขาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวนายกรัฐมนตรีกัมพูชา อันนี้ไม่ใช่การแต่งตั้งธรรมดา อันนี้เป็นการยืนยันให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ฮุน เซน เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองไทยโดยตรง ต้องการแทรกแซง และต้องการปกป้องคุณทักษิณ
ในเชิงวิเคราะห์ท่านทูตสุรพงษ์คิดว่ากัมพูชาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรตามมา
- ในชั้นนี้ผมคิดว่า ในเมื่อเราดำเนินการอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกประเทศ ในทางการทูต ทุกประเทศที่มีปัญหาในลักษณะนี้ ขั้นตอนในเบื้องต้นจะทำอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะว่า ไทยจะทำอะไรต่อไปไม่ใช่อยู่ที่ฝ่ายไทยว่าเราจะทำอะไรต่อไป แต่อยู่ที่ปฏิกิริยา ครั้งนี้การทำของเรา ปฏิกิริยาตอบโต้การกระทำ และท่าทีของฝ่ายเขมร เพราะฉะนั้นต่อไปเราจะทำอะไรคงไม่ใช่อยู่ที่เรา อยู่ที่ฝ่ายเขมรว่า เท่านี้เราส่งสัญญาณชัดเจนแล้ว คุณยังเอาเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวอยู่เหนือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ และการกระทำของคุณอันนี้ ทางฝ่ายไทยแจ้งแล้วที่ทำอย่างนี้เพราะว่ารัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยของไทยเราก็ต้องฟังประชาชน ต้องตอบสนองความรู้สึกประชาชน เพราะฉะนั้นทั้งหมด ฮุน เซน ถ้าไม่มีวาระซ่อนเร้นอะไรเขาต้องเข้าใจแล้วว่า เรื่องนี้ต้องไม่ให้มีความรุนแรงไปมากกว่านี้ หรือไม่ให้มีความเลวร้ายไปมากกว่านี้ ต้องพยายามปรับความสัมพันธ์ ปรับความเข้าใจ และมีท่าทีที่สอดคล้องกับคำพูดของเขา แต่ถ้าเขายังดำเนินการต่อไป มันก็เป็นไปได้ เช่น เขาอาจจะเรียกทูตเขากลับ เป็นการตอบโต้เรา เพื่อไปหารือข้อราชการ อ้างอะไรก็แล้วแต่ หรือมิฉะนั้นเขาอาจจะสร้างสถานการณ์ที่ชายแดนก็ได้ หรือเขาอาจจะเอาคนของเขามาประท้วง สร้างความรุนแรงให้กับคนไทยในกัมพูชา สถานทูตไทยก็เคยโดนเผามาแล้ว มาตรการเหล่านี้เขาอาจจะดำเนินการก็ได้ เพราะฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาท ผมก็เชื่อ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยย่อมตระหนักในประเด็นพวกนี้อยู่แล้ว
ในแง่ของระดับการตอบโต้ หรือการประท้วงทางการทูตที่เราทำวันนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุดหรือยัง
- ไม่หรอกครับ มันยังมีมาตรการอีกหลายด้านมากที่สามารถจากเบาเป็นหนักได้ ในเมื่อเรา เราต้องการให้คนกัมพูชา ให้คนไทย และให้รัฐบาลกัมพูชา ได้รู้ว่าการตอบโต้ของเรา เราไม่ใช่ตอบโต้เพื่อจะตัดความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่เราตอบโต้เพราะเราจำเป็นต้องตอบโต้ เพราะการกระทำของเขาได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทย ให้กับคนไทย ให้กับกระบวนการยุติธรรมไทย และได้สร้างความไร้เสถียรภาพให้แก่การเมืองไทย ด้วยการตอกลิ่มสร้างความแตกแยกในประเทศไทย เพราะฉะนั้นเราก็เชื่อว่า เราหวังว่ามาตรการอันนี้น่าจะเป็นสัญญาณที่ทำให้เขาได้ฉุกคิด แต่แน่นอน ถ้าฝ่ายกัมพูชาโดยเฉพาะนายกฯ ฮุน เซน มีวาระของเขาอยู่แล้ว มีวาระซ่อนเร้นของเขาอยู่แล้วอย่างที่เราทราบกัน แน่นอน แนวโน้ม เพื่อความไม่ประมาท เราควรจะคาดการณ์ได้ว่าเขาคงจะทำอะไรมากกว่านี้ เพื่อยั่วยุเราเพิ่มเติม เพราะฉะนั้นมาตรการที่รุนแรงมันมี คือทางการทูต มาตรการที่รุนแรงที่สุดคือ ในที่สุดตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน หรืออาจนำไปสู่ระงับก่อน ถ้าไม่มีผลเตือนสติได้ ก็สามารถในที่สุดก็ตัดได้ แต่อันนี้มีข้อเสีย เพราะทุกประเทศเมื่อมีปัญหาระหว่างกันต้องพยายามรักษาช่องทางการติดต่อกันไว้ เพราะถ้าตัดความสัมพันธ์หมายความว่า ทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างไม่มีผู้แทนกันในประเทศของตน เพราะฉะนั้นการติดต่อจะกระทำได้ยากกว่า เพราะต้องติดต่อบุคคลที่สาม หรือประเทศที่สาม ซึ่งมันทำให้เรื่องอาจจะยืดเยื้อ และสร้างความสับสนได้มากกว่าที่จะติดต่อกันเองโดยตรง
ในสายตาของเพื่อนบ้านอาเซียน มาตรการตอบโต้ของไทยเป็นที่เข้าใจได้หรือไม่
- แน่นอน เพราะเท่าที่ผมทราบ มิตรประเทศอาเซียนทั้งหลายเขาก็มึนงง เขาก็ไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้นกับคุณฮุน เซน เขารู้ว่ามีปัญหา และคุณฮุน เซนมีท่าทีอย่างไรกับคุณทักษิณ และท่าทีอย่างไรต่อการเมืองในประเทศไทย แต่เขาไม่คาดคิดเลย ทุกประเทศอาเซียน อีก 8 ประเทศ เขาก็งง เขาไม่นึกว่าฮุน เซนจะออกมาอย่างนี้ ประชาคมระหว่างประเทศ ประชาคมโลกโดยทั่วไป อีก 192 ประเทศ คืออันนี้มันนอกตำรามาก เพราะฉะนั้นเขาก็มึนงงมาก ซึ่งอันนี้ แล้วเขายังมองประเทศไทยว่ามีความเป็นผู้ใหญ่ มีความสุขุม และเป็นนโยบายที่ไม่คิดจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกัน และประเทศไทยได้ใช้ผู้นำไทย ไม่ว่าจะเป็นท่านนายกฯ บุคคลในรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ได้พยายามครองสติ และมีปฏิกิริยาด้วยการมีสติ ซึ่งอันนี้ต่างชาติเขาก็เห็น และเขาก็ยังรู้สึกประทับใจที่ไทยมีท่าทีที่ไม่ใช่ท่าทีที่ปราศจากสติ
กระทรวงการต่างประเทศต้องสื่อสารต่อประชาคมนานาชาติให้ดีว่าที่เราตอบโต้อย่างนี้เป็นเพราะสถานะของคุณทักษิณนั้นเป็นอย่างไร
- วิธีการอันหนึ่งก็ กระทรวงการต่างประเทศ แน่นอน กรมที่เกี่ยวข้องจะต้องมีโทรเลขแจ้งสถานทูต 70 กว่าแห่งในโลกให้รู้ข้อเท็จจริง และแนวทางการชี้แจง และแนวทางชี้แจงทันทีได้ เขาจะแปลแถลงข่าวของกรมสารนิเทศเป็นภาษาอังกฤษ เข้าใจว่าอาจจะเสร็จแล้ว และเราจะไปเวียนให้ทุกสถานทูตในประเทศไทย และส่งให้สถานทูตเราในต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการชี้แจงเบื้องต้น
ลักษณะแบบเดียวกัน กรณีการแทรกแซงกิจการภายในแบบที่คุณฮุน เซนทำ ในเคสของต่างประเทศเวลาตอบโต้รุนแรงมากน้อยแค่ไหน
- ส่วนใหญ่อย่างที่ผมบอก เขามักจะ ในเบื้องต้นสิ่งที่เราทำอยู่ ในเบื้องต้นคืออันนี้ ต่อไปอย่างที่ผมบอก ฮุน เซนอาจจะหาทางตอบโต้เรา เช่น เรียกทูตกลับ หรืออย่างที่ผมบอก ชายแดนก็ดี หรือสถานทูตไทยที่ประเทศเขาก็ดี อาจจะปลุกระดมความรู้สึกชาตินิยมอะไรขึ้นมา อาจจะไม่เผาสถานทูตแต่อาจจะมีการขว้างก้อนหิน ทำให้อาคารเราเสียหาย สิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้ อย่างที่ท่านนายกฯ ได้เน้นวันนี้ ผมคิดว่าสำคัญมากกว่า แถลงการณ์อันนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับประชาชน แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล
แต่ว่าลำดับต่อจากนี้ไป คือ เรื่องกองกำลังตามแนวชายแดน เรื่องการรักษาความปลอดภัยสถานทูตเราที่กัมพูชา หรือไม่ก็ธุรกิจไทยในกัมพูชา
- ถ้าเป็นรัฐบาล ผมก็หวังว่า ปกติเวลาประเทศหนึ่งมีปัญหา อีกประเทศหนึ่ง โดยทั้ง 2 ประเทศมีสัมพันธ์ทางการทูตกัน มันก็มีอนุสัญญาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ที่เขาเรียกอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต มันมีอยู่แล้ว ที่แนวทางปฏิบัติที่ทั้งประเทศผู้รับ และประเทศผู้ส่งต้องปฏิบัติตาม เช่น ถ้ามีปัญหากัน ฝ่ายกัมพูชาเอง เหมือนกับฝ่ายไทย เราเองก็ต้องให้ความคุ้มครองกับนักการทูตของตน เช่น กรณีของเรา ที่มีพี่น้องบางกลุ่มที่ไปประท้วงหน้าสถานทูตกัมพูชา ฝ่ายไทยเอง บ้านเมืองตำรวจเอง ก็ได้ไปให้ความอารักขาสถานทูตเขา เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง แต่ก็ไม่ได้กีดกันคนไทยที่จะชุมนุมประท้วง ชูป้ายอะไรก็แล้วแต่ อันนั้นก็เป็นสิทธิของคนไทยที่จะทำ
ฉันท์ใดฉันท์นั้น กรณีที่คนกัมพูชา สมมติ เขาไปประท้วงที่สถานทูตไทยที่กัมพูชา เขาก็มีสิทธิ์ทำในประเทศของเขา แต่ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ ของตำรวจ ทหาร และหน่วยงานที่รักษาความปลอดภัย ความมั่นคง ของกัมพูชา ก็ต้องให้ความคุ้มครอง อารักขา ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่การทูตของเรา และตึกอาคารที่เป็นสมบัติของรัฐบาลไทย
กรณีถ้ากัมพูชาต้องการคืนความสัมพันธ์ที่ดีกลับดังเดิม ต้องทำระดับไหน แถลงการณ์ออกมาเป็นทางการหรือยังไง หรือขอโทษ
- มีหลายรูปแบบ ถ้าเขาจะออกมาในรูปแถลงการณ์ของเขาก็ได้ หรือจะออกมาในรูปเชิงเพื่อไม่ให้เรื่องนี้บานปลาย เพื่อรักษาน้ำใจ รักษาหน้ากัน เขาก็อาจเชิญทูตเราไปหา และยื่นหนังสือ หรือคำชี้แจงของเขาออกมา หรือแถลงการณ์ของเขา อธิบายให้ทูตเราฟังว่า เจตนาของเขาไม่ได้ต้องการสร้างความวุ่นวาย หรือความไร้เสถียรภาพให้กับการเมืองไทย ชี้แจงให้เหตุผล และอยากเห็นความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา กลับสู่สภาพปกติเหมือนเดิม เขาก็สามารถทำได้ โดยเชิญทูตเราไปพบ และพูดด้วยวาจา พร้อมยื่นเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้ และท่านทูตต้องรายงานมายังกระทรวงการต่างประเทศ
อันนี้ก็เป็นวิธีการหนึ่ง หรือ อาจเป็นวิธีการที่ ฮุน เซน ให้สัมภาษณ์ก็ได้ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ หรือสื่อเขา เขามีสื่อในครอบครองที่รัฐดูแลเป็นเจ้าของ และรัฐควบคุมอยู่แล้ว เขาก็สามารถที่จะให้สื่อของเขา เป็นหน้าม้า และป้อนคำถามในทางที่เขาต้องการ ที่จะมีคำตอบให้เป็นข่าว และเป็นสื่อถึงรัฐบาลไทย ให้ถึงประเทศไทย ให้คนไทยรู้ว่า เขาคิดอย่างไร มันหลายรูปแบบที่จะทำได้
ถือว่ามาตรการตอบโต้ครั้งนี้ ถ้ามองแง่การเมือง และทำให้ภาพลักษณ์ภาวะความเป็นผู้นำของนายกฯดูเด่นชัดขึ้น
- แน่นอนครับ และเป็นผลดีกับประเทศไทย ในสายตาประชาคมโลกด้วย ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยึดมั่นในกฎกติการะหว่างประเทศ เพราะฉะนั้น และอีกอย่าง เราพูดถึงประชาคมระหว่างประเทศ อันนั้นก็สำคัญ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือรัฐบาล ในข้อนี้ คงจะเห็นแล้ว รัฐบาลจำเป็นต้องฟังประชาชนทั้งประเทศ อันนี้ก็เป็นการส่งสัญญาณให้กับต่างประเทศรู้ว่า นี่คือรัฐบาลระบอบประชาธิปไตย และให้ฮุน เซน รู้ว่า แบบประชาธิปไตยของไทย มันไม่เหมือนกับใช้ใจของฮุน เซน ฮุน เซน อาจไม่จำเป็นต้องฟังประชาชนของเขา เขาทำอะไรก็ได้ แต่สำหรับไทย ข้อ 4 มีความสำคัญมาก
เพราะฉะนั้น มันเป็นสิ่งที่ต่างชาติคิดยังไง ไม่เท่ากับคนไทยส่วนใหญ่ในประเทศ รัฐบาลปัจจุบันนี้สามารถสื่อและสร้างความเข้าใจ รับฟังความเห็นประชาชน คนในชาติเข้าใจรัฐบาล อันนี้ คือความแข็งแกร่งของการทูต และนโยบายต่างประเทศ เมื่อได้รับความเห็นใจ เข้าใจ และสนับสนุนจากคนในชาติเป็นสำคัญ ต่างชาติเป็นประเด็นรองมาก คนในชาติต้องมาอันดับ 1 ครับ
ขอบคุณมาก ท่านทูตสุรพงษ์ ครับ