บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยรายงานวิจัยโดยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยว่า แนวโน้มการลงทุนจากการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในปี 2552 มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากผลพวงของวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกชะลอตัวลง โดยในกรณีที่ไม่มีโครงการขนาดใหญ่สนใจขอรับส่งเสริมเข้ามาเพิ่มเติม เช่น โครงการเหล็กต้นน้ำ ซึ่งแต่ละโครงการอาจมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 1 แสนล้านบาทแล้วนั้น การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในรูปของการขอรับการส่งเสริมลงทุนของบีโอไอ อาจอยู่ในช่วง 300,000 - 450,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 650,000 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจที่มีแนวโน้มที่จะได้รับเงินลงทุนโดยตรงเพิ่มขึ้นในปีนี้ คือ กิจการในภาคบริการและสาธารณูปโภค เนื่องจากมีการเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่และมีการเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (แอดเดอร์) ต่อหน่วยจากพลังงานหมุนเวียน สำหรับในส่วนของกระแสเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิที่เป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นจริง คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วง 7,000-10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
บริษัทศูนย์วิจัย กสิกรไทย ระบุว่า รัฐบาลควรช่วยออกมาตรการสนับสนุนที่นอกเหนือไปจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่บีโอไอมีให้เพิ่มเติมอีก อาทิ การช่วยสนับสนุนเงินในโครงการที่ประเทศจะได้รับประโยชน์ด้วย การให้สิทธิประโยชน์ด้านการประกอบการที่มีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้น ลดความซ้ำซ้อนของขั้นตอน ภาษี และกฏระเบียบในการนำเข้าและส่งออกสินค้าเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนด้านโลจิสติกส์
อย่างไรก็ดี ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมการลงทุนที่ไม่เอื้ออำนวยนักในช่วงระยะ 6-12 เดือนข้างหน้าที่เศรษฐกิจทั่วโลกอาจยังคงอยู่ภายใต้ภาวะถดถอย สิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรการระยะสั้นเพื่อดึงดูดการลงทุน ก็คือการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการรถไฟรางคู่ และการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ (โครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างศักยภาพด้านการลงทุนของประเทศในระยะยาว โดยควรให้มีการเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ซึ่งโครงการเหล่านี้รัฐบาลสามารถกำหนดรูปแบบให้ภาคเอกชนต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมลงทุน ซึ่งจะช่วยลดภาระด้านงบประมาณ พร้อมกับดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย
สำหรับธุรกิจที่มีแนวโน้มที่จะได้รับเงินลงทุนโดยตรงเพิ่มขึ้นในปีนี้ คือ กิจการในภาคบริการและสาธารณูปโภค เนื่องจากมีการเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่และมีการเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (แอดเดอร์) ต่อหน่วยจากพลังงานหมุนเวียน สำหรับในส่วนของกระแสเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิที่เป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นจริง คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วง 7,000-10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
บริษัทศูนย์วิจัย กสิกรไทย ระบุว่า รัฐบาลควรช่วยออกมาตรการสนับสนุนที่นอกเหนือไปจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่บีโอไอมีให้เพิ่มเติมอีก อาทิ การช่วยสนับสนุนเงินในโครงการที่ประเทศจะได้รับประโยชน์ด้วย การให้สิทธิประโยชน์ด้านการประกอบการที่มีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้น ลดความซ้ำซ้อนของขั้นตอน ภาษี และกฏระเบียบในการนำเข้าและส่งออกสินค้าเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนด้านโลจิสติกส์
อย่างไรก็ดี ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมการลงทุนที่ไม่เอื้ออำนวยนักในช่วงระยะ 6-12 เดือนข้างหน้าที่เศรษฐกิจทั่วโลกอาจยังคงอยู่ภายใต้ภาวะถดถอย สิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรการระยะสั้นเพื่อดึงดูดการลงทุน ก็คือการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการรถไฟรางคู่ และการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ (โครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างศักยภาพด้านการลงทุนของประเทศในระยะยาว โดยควรให้มีการเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ซึ่งโครงการเหล่านี้รัฐบาลสามารถกำหนดรูปแบบให้ภาคเอกชนต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมลงทุน ซึ่งจะช่วยลดภาระด้านงบประมาณ พร้อมกับดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย