ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร ระยะที่ 2 จำนวน 8 เส้นทาง ระยะทาง 433 กิโลเมตร วงเงิน 11,240 ล้านบาท
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการก่อสร้างทางหลวงสายหลัก จะบรรจุไว้ในแผนก่อหนี้ต่างประเทศประจำปีงบประมาณ 2552 โดยกระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ 5,620 ล้านบาท หรือ 156.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะใช้เงินกู้จากธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) และธนาคารโลก ขณะที่สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสมทบอีก 5,620 ล้านบาท รวม 11,240 ล้านบาท
สำหรับโครงการดังกล่าว เป็นเส้นทางที่มีความสำคัญที่เชื่อมโยงไปยังภูมิภาคต่างๆ และต่อเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นโครงข่ายที่สมบูรณ์ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ ประกอบด้วย เส้นทางสู่ภาคใต้ พังงา-กระบี่ 27 กิโลเมตร นครศรีธรรมราช-สงขลา 36 กิโลเมตร เชื่อมโยงชายฝั่งทะเลภาคใต้ฝั่งตะวันออก สีคิ้ว-ชัยภูมิ 60 กิโลเมตร สีคิ้ว-อุบลราชสีมา 65 กิโลเมตร สีคิ้ว-พนมสารคาม 28 กิโลเมตร พนมสารคาม-สระแก้ว 73 กิโลเมตร และเส้นทางสายตะวันออก-ตะวันตก พิษณุโลก-หล่มสัก 105 กิโลเมตร และกาฬสินธุ์-มุกดาหาร 39 กิโลเมตร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยอมรับว่า ปัจจุบันโครงการล่าช้าไปมาก เนื่องจากที่ผ่านมามีการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามาแล้ว 3 ครั้งคือวันที่ 12 ธันวาคม 2550 วันที่ 29 เมษายน 2551 และวันที่ 10 พฤศจิกายน 2551 แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาเนื่องจากมีการเปลี่นแปลงทางการเมืองตลอดเวลาและครั้งนี้ก็เป็นการเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งทุกเส้นทางออกแบบไว้แล้วไม่มีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สามารถดำเนินการได้ทันที ยกเว้นเส้นทางสายพิษณุโลก-หล่อมสักระยะทาง 105 กิโลเมตร จะก่อสร้างเพียง 30 กิโลเมตรก่อนส่วนที่เหลือ 75 กิโลเมตร จะดำเนินการไปตามขั้นตอนของสิ่งแวดล้อม เพราะจะมีบางช่วงของเส้นทางที่ผ่านอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ที่อยู่ระหว่างรอพิจารณาจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการก่อสร้างทางหลวงสายหลัก จะบรรจุไว้ในแผนก่อหนี้ต่างประเทศประจำปีงบประมาณ 2552 โดยกระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ 5,620 ล้านบาท หรือ 156.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะใช้เงินกู้จากธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) และธนาคารโลก ขณะที่สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสมทบอีก 5,620 ล้านบาท รวม 11,240 ล้านบาท
สำหรับโครงการดังกล่าว เป็นเส้นทางที่มีความสำคัญที่เชื่อมโยงไปยังภูมิภาคต่างๆ และต่อเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นโครงข่ายที่สมบูรณ์ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ ประกอบด้วย เส้นทางสู่ภาคใต้ พังงา-กระบี่ 27 กิโลเมตร นครศรีธรรมราช-สงขลา 36 กิโลเมตร เชื่อมโยงชายฝั่งทะเลภาคใต้ฝั่งตะวันออก สีคิ้ว-ชัยภูมิ 60 กิโลเมตร สีคิ้ว-อุบลราชสีมา 65 กิโลเมตร สีคิ้ว-พนมสารคาม 28 กิโลเมตร พนมสารคาม-สระแก้ว 73 กิโลเมตร และเส้นทางสายตะวันออก-ตะวันตก พิษณุโลก-หล่มสัก 105 กิโลเมตร และกาฬสินธุ์-มุกดาหาร 39 กิโลเมตร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยอมรับว่า ปัจจุบันโครงการล่าช้าไปมาก เนื่องจากที่ผ่านมามีการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามาแล้ว 3 ครั้งคือวันที่ 12 ธันวาคม 2550 วันที่ 29 เมษายน 2551 และวันที่ 10 พฤศจิกายน 2551 แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาเนื่องจากมีการเปลี่นแปลงทางการเมืองตลอดเวลาและครั้งนี้ก็เป็นการเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งทุกเส้นทางออกแบบไว้แล้วไม่มีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สามารถดำเนินการได้ทันที ยกเว้นเส้นทางสายพิษณุโลก-หล่อมสักระยะทาง 105 กิโลเมตร จะก่อสร้างเพียง 30 กิโลเมตรก่อนส่วนที่เหลือ 75 กิโลเมตร จะดำเนินการไปตามขั้นตอนของสิ่งแวดล้อม เพราะจะมีบางช่วงของเส้นทางที่ผ่านอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ที่อยู่ระหว่างรอพิจารณาจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ