สโรชา- พี่น้องคะเรื่องของการคุกคามนั้นไม่ใช่เพียงแค่รูปแบบที่เล่าให้ฟังในเบรกก่อนหน้านี้นะคะ แต่ว่ากระบวนการจาบจ้วงยังมีอย่างต่อเนื่องค่ะ เป็นในรูปแบบของสื่อต่างประเทศซะเป็นส่วนใหญ่ ถ้าใครได้มีโอกาสอ่านสื่อยักษ์ใหญ่บางฉบับ ไม่ว่าจะเป็นบีอีคลอนามิส หรือวอชิงตันโพสต์ ซึ่งเป็นบทบรรณาธิการ บีอีคลอนามิสนี่ชัดเจนมาก และมีหลายครั้งหลายหน เนื้อหาถึงขั้นว่าไม่สามารถนำมาออกอากาศได้ค่ะพี่น้อง แต่ว่าจะชี้ให้เห็นว่า กระบวนการแบบนี้ยังคงมีอยู่ ท่ามกลางกระแสของการจัดตั้งรัฐบาล กระแสของการโจมตีพันธมิตรฯ ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้มันเท่าไหร่อะไรอย่างไร จะมีการจับจ้องและชี้ให้เห็นในสื่อต่างๆ กันเยอะมาก วันนี้คงได้คุยกันในหลายประเด็นนะคะ ต้อนรับคุณพิภพ ธงไชย และคุณสำราญ รอดเพชร เข้าสู่รายการ ขอบพระคุณค่ะ สวัสดีค่ะ พี่พิภพคะก่อนอื่นเลยต้องเรียนถามเรื่องความช่วยเหลือ ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง
พิภพ- ครับ ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง และคิดว่าจะไประยะหนึ่ง เพราะว่าเป็นความรับผิดชอบของ 5 แกนนำ ที่ดูแลเงินบริจาค เราก็ต้องจัดการเงินบริจาคไปให้ทั่วถึง และความเหมาะสม ตอนนี้เงินบริจาคจนถึงวันที่ 3 ธ.ค.นะครับ เฉพาะผู้บาดเจ็บ 32,009,321.22 บาท ซึ่งเงินบริจาคทั้งหมดจะเข้าที่ธนาคารกสิกรไทย นะครับ สำหรับผู้เสียชีวิต บริจาคสำหรับผู้เสียชีวิต 6,051,381.58 บาท รวมทั้งหมดถึงวันนี้ 38,060,702.77 บาท ส่วนรายจ่าย อยากจะเรียนให้ผู้บริจาคที่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ทราบว่า การจ่ายทั้งหมดจะจ่ายเป็นเช็ก โดยเอซีเพยี่โอลี่ ไปยังผู้ที่มีสิทธิ์รับตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น ภรรยา หรือพ่อ หรือแม่ หรือผู้ที่บาดเจ็บอยู่ จะไปยังผู้บาดเจ็บโดยตรง สำหรับผู้บริจาคเพิ่มเติมวันนี้ก็มี 7,000 บาท จากคุณทราย คุณพราว บริจาคผู้บาดเจ็บ แล้วก็เป็นธนาณัติ 3,000 บาท จากคุณสุดศรี กาญจโนใหม่ โดยบริจาคมาทางธนาณัติ และผมคงจะจัดการเข้าบัญชีกระแสรายวัน เราเปิดบัญชีเดียวนะครับ บัญชีกระแสรายวัน ไม่มีบัญชีออมทรัพย์ แล้วเช็กทุกใบจะต่อเอซีเพยี่โอลี่หมดนะครับ
อยากจะรายงานให้ทราบว่า ผู้เสียชีวิตคนสุดท้าย ที่สุดท้ายสำหรับวันนี้นะครับ โดยเป็นอุบัติเหตุเล็กขณะขนของในคืนวันที่เราได้เลิกออกจากทำเนียบ ก็มีอุบัติเหตุเล็กๆ แต่ว่าร้ายแรงมาก คือทำให้เสียชีวิตเกือบทันที ต้องไปอยู่ในโรงพยาบาลหลายวัน ระหว่างอยู่โรงพยาบาลก็สลบ ตอนนี้ก็เสียชีวิตแล้ว คือนางสาวศศิธร เชยโสภณ อายุ 32 ปี เป็นการ์ดอาสา มาทำงานทุกวันที่ตรงทำเนียบรัฐบาลด้าน สน. คือด้านสะพานมัฆวานฯ จะมีการสวดศพไปจนถึงวันพฤหัสบดีนี้ ที่ศาลา 8 วัดมงกุฎ แล้วจะเผาในวันอาทิตย์ที่ 14 เวลา 14.00 น. จะเว้นการสวดศพ 2 วัน ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะมาแจ้งให้ทราบ ก็น่าเสียดายและน่าเสียใจมาก เธอมีคู่หมั้นคู่หมายที่กำลังจะแต่งงานกัน ก็มาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเล็กๆ ซึ่งแต่กลายเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงจนเสียชีวิต ผมต้องขอรายงานเพิ่มเติมนิดหน่อย ขอเวลาท่านผู้ชมผู้ฟัง เพื่อนพันธมิตรฯ ว่าเราได้ช่วยเหลือไปแล้วโดยไม่ได้เอ่ยนาม สำหรับผู้เสียชีวิต 10 ราย คนที่ได้เสียชีวิตเป็นลม หรือหัวใจวายในทำเนียบฯ จ่ายไปแล้วจำนวน 8,723,180 บาท การจ่ายทั้งหมดจะปรึกษาทนายความ และจ่ายตรงไปยังผู้มีสิทธิตามกฎหมาย โคม่า 2 ราย จ่ายไปแล้ว 560,000 บาท ผู้เสียแขนและขา 5 ราย จ่ายแล้ว 2,085,010 บาท ผู้สูญเสียนิ้ว 4 ราย จ่ายไปแล้ว 740,000 บาท ผู้เสียตา 2 ราย และสูญเสียอวัยวะ 3 คน จ่ายไปแล้ว 902,000 บาท ขาหัก และเนื้อฝ่าเท้าหาย 8 คน จ่ายไปแล้ว 1,130,000 บาท สูญเสียการได้ยินชั่วคราว 3 คน จ่ายไปแล้ว 190,000 บาท ไฟลวกตามร่างกาย และเป็นแผล 23 ราย จ่ายไปแล้ว 934,000 บาท บาดแผลตามตัว และอวัยวะต่างๆ 34 ราย จ่ายไปแล้ว 425,270 บาท และบาดเจ็บเล็กน้อย 436 ราย จ่ายไปแล้ว 2,652,640 บาท บาดเจ็บวันที่ 30 ตุลาคม 9 คน จ่ายไปแล้ว 348,000 บาท โคม่าอยู่ในวันนี้ด้วย และบาดเจ็บวันที่ 2 กันยายน ที่สะพานมัฆวาน 5 คน จ่ายไปแล้ว 60,000 บาท บาดเจ็บ 1 คน 8 พฤศจิกายน จ่ายไปแล้ว 76,305 บาท บาดเจ็บ 11 พฤศจิกายน 4 คน จ่ายไปแล้ว 40,000 บาท บาดเจ็บ 22 พฤศจิกายน 7 คน จ่ายไปแล้ว 90,000 บาท บาดเจ็บ 20 พฤศจิกายน 3 คน จ่ายไปแล้ว 80,000 บาท ที่ต้องบอกว่าบาดเจ็บวันนี้ๆ เพราะเดิมทีเราคิดว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดในวันที่ 7 ตุลาคม แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ถูกกระทำจากฝ่ายรัฐบาลในการเข้ามาทำร้ายเรา และใช้อาวุธนานาชนิดในหลายครั้งหลายหน
สำหรับบาดเจ็บ 28 พฤศจิกายน 50 คน จ่ายไปแล้ว 16 ราย กำลังจะจ่ายตามอีกในการบาดเจ็บระยะหลังกำลังตามจ่าย จ่ายไปแล้ว 515,280 บาท บาดเจ็บ 1 ธันวาคม 22 คน จ่ายไปแล้ว 17 ราย 478,739 บาท และอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องคดี เกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ ก็จ่ายไปอีก 300,000 และอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับที่เป็นของหมอ 300,290 บาาท ส่วนคดีความก็จ่ายไป 300,000 บาท รวมทั้งหมดจ่ายไปแล้ว 20,360,714 บาท โดยมีรายลับอยู่ตอนนี้รวมทั้งหมด 38,060,702.77 บาท ซึ่งคงเหลือเงินอีกประมาณ 18 ล้าน เราก็จะทยอยจ่ายคนที่ยังขาดการจ่าย และอาจจะจ่ายเพิ่มสำหรับคนที่มีอาการเพิ่มขึ้น อยากจะเรียนให้ทราบว่าถึงบัดนี้มีผู้เสียชีวิต 10 ราย สาหัส 21 ราย มีบาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลาง 599 ราย ยังรักาาตัวอยู่ในโรงพยาบาลรามาธิบดี 5 คน ภูมิพล 2 คน ทหารผ่านศึก 1 คน และขอขอบพระคุณผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ ที่รับรักษาให้ฟรี 14 คน โดยไม่คิดสตางค์เลย โรงพยาบาลนี้เป็นเอกชนด้วย อยากจะเรียนอย่างนี้ ว่าเงินทั้งหมดมี 38,060,702.77 บาท เราจ่ายไปแล้ว 20,360,714 บาท ส่วนที่เหลือจะตามจ่าย มีบางรายไม่ได้มาแจ้ง เราพยายามจะตามจ่าย ตามเยี่ยมตามโรงพยาบาลต่างๆที่ยังมีผู้บาดเจ็บสาหัสอยู่
อยากจะเรียนอีกนิดนึงครับว่า เราจะจ่ายให้หมด 38 รายแน่นอน เราจะจ่ายให้เฉพาะผู้มีสิทธิรับตามกฎหมายเท่านั้น ส่วนผู้มีสิทธิรับตามกฎหมาย จะไปจ่ายให้กับผู้ดูแลอย่างไรให้เป็นการตัดสินของท่านนั้นๆเอง ยกตัวอย่างเช่น ผู้พิการ 2.การดูแลผู้พิการ ซึ่งเงินตรงนี้อาจจะหมด เราก็จะรณรงค์ต่อไปยังมูลนิธิต่างๆ หรือผู้บริจาคต่างๆว่าผู้พิการที่อาจจะทำงานไม่ได้เลยไปอีกนานเราจะดูแลเขาอย่างไร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพี่น้องพันธมิตรฯ และมูลนิธิต่างๆ ว่าจะช่วยดูแลต่อเนื่องหลังจากเงิน 38 ล้านนี้หมด ซึ่งผมจะมารายงานให้ทราบเป็นระยะ
สำหรับทุนการศึกษา มีมหาวิทยาลัยหลายที่ และมูลนิธิบางมูลนิธิที่มีชื่อเสียง แต่ไม่ออกนาม ได้ออกตัวมาแล้วว่าพร้อมจะให้ทุนการศึกษา เพราะฉะนั้นเรื่องทุนการศึกษาจะทำต่อเนื่อง นอกจากนั้น ตอนนี้โครงการช่วยเหลือเราได้เข้ามาอยู่ในโครงการหนึ่งของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน รวมทั้งโครงการของท่าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ด้วย ให้เข้าไปอยู่ในความดูแลของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แต่การตัดสินใจมูลนิธิให้อำนาจตัดสินใจในโครงการของ พล.ต.จำลอง ตัดสินใจ ในส่วนของผมที่ดูแลผู้บาดเจ็บ ให้ผมตัดสินใจแต่ผมจะต้องทำรายงานไปยัง 5 แกนนำ และมูลนิธิ และก็นำมาแจ้งผู้ชม ในรายการ ASTV ส่วนในรายการต่างๆเหล่านี้เราจะลงในอินเตอร์เน็ต หรือเว็บไซต์ของผู้จัดการเพื่อให้ตรวจสอบได้ อยากเรียนให้ทราบ ในระยะยาวเราจะขอความร่วมมือกับมูลนิธิอีกหลายมูลนิธิ ที่จะเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจากเหตุการณ์ต่างๆ ผมหวังว่าเราจะได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิ ตอนนี้เราประสานมูลนิธิต่างๆ เพื่อจะดูแลในส่วนที่เงินบริจาคได้หมดไป แต่อยากจะเรียนนะครับว่าเราดูแลเต็มที่ ตามที่ความศรัทธาของผู้บริจาคได้ให้ เราจะใช้จ่ายอย่างเต็มที่ ค่าใช้จ่ายต่างๆ เราจะอาศัยองค์กรต่างๆ ที่เข้ามาดูแลเราข้างหลังช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในการจัดการ แต่เงินบริจาคทั้งหมดจะพยายามไปให้ถึงมือของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ผู้พิการ และสามารถตรวจสอบได้
ผมอยากจะเรียนอย่างนี้ สำหรับผู้ที่ตกหล่นนะครับ แล้วก็ไม่สามารถเข้าถึงผมได้และทีมงานได้ ขอให้แฟกซ์รายละเอียดไปที่เบอร์เดี๋ยวจะขึ้นหน้าจอนะครับ 0-2814-0364 เป็นเบอร์แฟกซ์ ส่งรายละเอียดและเบอร์โทรศัพท์ นะครับกลับมา แล้วเล่าเหตุการณ์ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บแล้วยังไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างไร ถ้าให้ดี เนื่องจากเหตุการณ์มันยาวนานมาแล้ว อาจจะมีใบรับรองแพทย์ หรือใบการรักษา ซึ่งเนื่องมาจากเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ ทั้งเหตุการณ์ก่อนวันที่ 7 ต.ค. เราจะช่วยเหลือ แม้แต่ที่อุดรธานี นะครับ ส่วนเงินบริจาคถ้าไม่พออย่างไรเราจึงจะมาขอกราบเรียน รบกวนพ่อแม่พี่น้องในการบริจาคต่อไป แต่ตอนนี้เราพยายามจะใช้เงินบริจาคที่มีอยู่ให้ถึงผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต และผู้พิการให้เต็มที่ที่สุดก่อนครับ
สโรชา- ขอบคุณค่ะพี่พิภพ นี่คือรายละเอียดในเรื่องของการบริจาค และในส่วนของการที่พันธมิตรฯ ได้จ่ายไปยังผู้ที่เสียหาย ทั้งผู้พิการ ทั้งผู้ที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลด้วย ถ้ามีเพิ่มเติมอย่างไรเราจะใช้เวทีนี้เป็นเวทีที่จะชี้แจงกับพ่อแม่พี่น้อง แล้วถึงเวลาแล้วถ้าหากว่าเรา ในฐานะพันธมิตรฯ ยังคงต้องดูแลผู้พิการในระยะยาว เราคงจะได้ขอความกรุณา ขอความเมตตา และขอความเข้าใจจากพ่อแม่พี่น้องอีกครั้งหนึ่งนะคะ
พิภพ- ขอเพิ่มเติมอีกนิดได้ไหมครับ คือตอนนี้มีการคุกคามจากฝ่ายรัฐ คิดว่าเป็นฝ่ายตำรวจมากกว่าที่ยังไม่มีความเข้าใจ ได้มีการคุกคามพ่อแม่พี่น้องที่ปรากฏรูปในหนังสือพิมพ์ก็ดีนะครับ หรือมีชื่อตามโรงพยาบาลก็ดี เข้าไปคุกคามเพื่อให้พวกนี้ไม่มีงานทำ หรือไม่สามารถทำงานได้
สโรชา- เขาทำอะไร เขาทำยังไงบ้างคะวิธีการ
พิภพ- ไปคุกคามกับบริษัทที่คนนี้ทำงานอยู่อะไรอย่างนี้เป็นต้น หรือบางคนจะไปทำธุรกิจส่วนตัว ก็ไปคุกคามไม่ให้เกิดธุรกิจให้ได้ อันนี้ผมคิดว่าอำนาจรัฐทำมากเกินไปแล้ว ทำมากเกินไป เพราะการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ อันนี้อยากเรียนให้ทราบ เพราะฉะนั้นถ้าต่อไปใครถูกคุกคามใดๆ ถ้าแน่ใจส่งชื่อมา สำหรับตำรวจที่คุกคาม แต่เราจะระมัดระวัง จะไม่เปิดเผยชื่อนายตำรวจนั้นจนกว่าจะเช็กได้ ก็อยากจะเรียน นอกจากนั้นก็ยังมีการคุกคาม ในการขู่ว่าจะจัดการใช้มือปืนมาจัดการ โดยนายตำรวจใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ผมทราบชื่อแล้ว ที่จะมาคุกคาม ไม่ใช่แต่ 5 แกนนำเท่านั้น อาจจะคนอื่นๆ อีก อันนี้ผมอยากจะเรียนว่า ประชาธิปไตยจะไม่ไปไหนถ้าอำนาจรัฐยังใช้อำนาจคุกคามในการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความถูกต้อง อยากจะเรียนไปยังอำนาจรัฐที่ต้องรับผิดชอบ ให้ดูแลนายตำรวจนอกแถวของตัว ว่าการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนไม่ควรจะเกิดขึ้นในโลกประชาธิปไตยสมัยใหม่ แล้วพ่อแม่พี่น้องพวกนี้พร้อมจะทำงานตามปกติ ผมคิดว่าขอให้ชีวิตกลับมาสู่ความปกติ แล้วการเมืองดำเนินต่อไป เราจะออกมาก็ต่อเมื่อการเมืองมีความไม่ถูกต้อง แล้วจะออกมาโดยสันติวิธีและอหิงสาเท่านั้น อันนี้เป็นสิทธิของประชาชน คำว่าเราคงไม่ได้หมายตัวผม หมายถึงประชาชนทุกคนควรจะมีสิทธิในการที่จะมาทำความถูกต้องให้กับสังคม และระบอบประชาธิปไตยดำเนินการไปได้
สโรชา- จริงๆ แล้วไม่อยากจะขอให้ภาครัฐเข้ามาป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเลย อย่าสนับสนุนก็พอนะพี่สำราญ อย่าสนับสนุนให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น คือไม่อยากจะหวังไปไกล
สำราญ- ใช่ครับ คือให้มันลดน้อยลงหน่อย แต่ผมมองว่ามันยาก คือมันต้องเปลี่ยนโครงสร้างรัฐบาลครั้งหนึ่งก่อน ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
สโรชา - พี่สำราญโดนคุกคามบ้างไหมคะ
สำราญ- ของผมพักหลังก็มีคงตามอยู่บ้าง แล้วก็มีไปกดกริ่งก่อกวนอยู่บ้าง นานๆ นะครับ ตอนนู้น ตอนที่ใหม่ๆ 2 เดือนแรกไปขึ้นบ้าน 3 ครั้ง ก็วิ่งไล่ไปครั้งนึง 2 ครั้งเราไม่อยู่ก็กระเจิงกระจุย แต่โดยรวมแล้วฟังที่คุณพิภพพูดมานะคุณแอ้ม คือเรา 192 วัน ต้นทุนก็เยอะเหมือนกัน ชีวิตของผู้คน 10 คน สาหัส 21 แล้วก็ปานกลางถึงเล็กน้อย 599 มันมาก นี่คือมันสะท้อนถึงความพิกลพิการของนักการเมืองเอย กลไกอำนาจรัฐเอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหาร ตำรวจ ผมว่ามีปัญหามาก ใครมาเป็นรัฐบาลต้องรื้อ ต้องจัดการ หมายถึงต้องปฏิรูป ปฏิสังขรณ์ พอต้นทุนขนาดนี้ ฟังไปก็ใจหาย คุณพิภพรู้สึกหรือเปล่าครับ คือมันมากเกินไป แต่มันทำอย่างไรได้ เพราะนี่คือสัจธรรมของประเทศไทย ของชีวิตจริง ซึ่งถ้าย้อนเวลาได้ผมว่า พูดไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วนะครับ ต้องทำอนาคตมาชดเชยอดีตที่สูญเสียให้ดีที่สุด แต่คำถามก็คือนี่ละครับ เหมือนที่คุณแอ้มเกริ่นในข่าวนั่นแหละ
พอย้อนไปเมื่อปี 49 ผมนำเข้าประเด็น เข้าการเมืองนิดนึงนะครับ ทำเชื้อให้ อ.พิภพ พูด คือปี 49 เราจบลงด้วยรัฐประหาร แล้วจบลงด้วยรัฐบาลเฉพาะกาล ที่เขาเรียกกันนะครับ รัฐบาลขิงแก่ อันนั้นคือบทเรียนครั้งใหญ่ของพันธมิตรฯ เหมือนกันว่า เราไม่ได้ไปมีส่วนกำหนดเลย ปล่อยให้เขาตั้งรัฐบาลขิงแก่ขึ้นมา แล้วสุดท้ายผ่านไป 16 เดือน เป็นบทเรียน ผมต้องวิพากษ์ตรงๆ ว่า บทเรียนของผมด้วย ของพันธมิตรฯ ด้วย ของทุกคนที่ร่วมกันต่อสู้ 16 เดือนเราสูญเปล่าเลยนะครับ รัฐบาลขิงแก่
สโรชา- เหนื่อยฟรี
สำราญ- ผมไปเป็น สนช.เป็นอะไรต่างๆ โดยอะไรก็แล้วแต่ ก็ทำอะไรได้ไม่มาก ได้กฎหมาย คตส.มาอันนึง ถ้าไม่มี คตส. เหมือนที่เราปราศรัยบนเวทีทำเนียบนั่นแหละ ไม่มี คตส. 19 ก.ย.49 มัน
สโรชา- เป็นผลงานแทบจะชิ้นเดียวเลย
สำราญ- ชิ้นเดียวที่พอจะเอ่ยอ้างได้ กับอีกอันคือ ทำให้ทักษิณต้องระเหเร่ร่อนอยู่เมืองนอก นี่คือไล่ทักษิณออกไป แต่ตัวโครงสร้างระบอบทักษิณยังอยู่ ดีที่มี คตส.มาเยียวยา ชดเชยความรู้สึก แล้วก็ทำอะไรให้กับบ้านเมืองบ้าง มันก็มาสู่คำถามที่กำลังเกิดขึ้น ณ นาทีนี้ว่า โอเคบางสูตรก็ดีอยู่ บางสูตรนะ พูดกันตรงๆ คือ ถ้าพลิกขั้วมาเป็นประชาธิปัตย์ ผู้คนก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมานิดหนึ่ง ถึงแม้ไม่มากไม่มาย แต่ผมคิดว่าผู้คนก็พอรับได้ แต่ภายใต้การรับได้นี้ มันก็มีสิ่งที่เป็นยาพิษ หรือยาขม เป็นอะไรที่มันทำลายความรู้สึกอยู่เหมือนเดิม คือการเมืองเก่า คือโควต้า คือเลข 8 หลักที่ซื้อกัน ต่อ ส.ส. คือระดมพลกัน
สโรชา- เขาบอกเคาะกันทุกชั่วโมงเลยจริงหรือเปล่าคะพี่สำราญ
สำราญ- ทุกชั่วโมงก็เกินไป แต่ว่า
สโรชา- เหมือนประมูล คือโทรชิงกันตรงนั้นเลย
สำราญ- มันก็มีการเลี้ยงดูปูเสื่อกัน แล้วก็มีการล็อกกัน มานอนโรงแรมนี้นะ อยู่กันนะ รอเวลานะ
สโรชา- คือมาเก็บตัวด้วยกันเหมือนเป็นนักกีฬาเลยก่อนที่จะลงไปแข่งจริง
สำราญ- เหมือนกับ ส.จ.ในต่างจังหวัด เข้าใจไหม วันที่จะเลือกประธาน ส.จ. มันจะมีการเข้าค่าย คือเก็บส่วนหนึ่ง ห้ามออกไปใช้เสียง เก็บส่วนหนึ่งเพื่อมึงอย่าออกไหน รุ่งเช้าจะเอามึงไปโหวต มันลักษณะคล้ายๆ คือแบบนี้ผมรู้ว่านักการเมืองหลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้นหรอก แต่มันกำลังจะเกิดขึ้น แล้วนี่เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าทั้ง 5 แกนนำ พวกเราหลายคนก็จ้องมองดูอยู่ว่าใครก็ตามที่จัดตั้งรัฐบาล หรือผู้มีอำนาจทั้งหลาย นักการเมืองทั้งหลายที่มีจิตสำนึกแล้ว ก็ต้องคำนึงถึง 10 ศพบ้าง คำนึงถึงคน 21 คน ที่หาขาก ตาหลุดบ้าง คำนึงถึงคนที่บาดเจ็บ 599 คนบ้าง คำนึงถึงคนเงินล้านๆ 10 ล้าน 5 ล้าน ที่อยู่ทางบ้าน ที่เขาเรียกว่าต่อสู้ 7 เดือนบ้าง
สโรชา- เขาจะถามได้ไหม คือมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เยอะ กว้างขวางมากในสังคม เอาละ ประชาธิปัตย์เขามาเล่นเกมนี้ละ และเขาจะเป็นฝ่ายที่จะจัดตั้งรัฐบาล หลายคนวิพากษ์วิจารณ์บอกว่า อย่างนี้ก็ไปเล่นการเมืองแบบเก่า ก็คือต้องชิงกัน ต้องคุยกันเรื่องเก้าอี้ เขาจะตอบได้ไหมว่า ถ้าไม่ให้เล่นเกมนี้แล้วจะเล่นเกมไหน จะปล่อยให้เขาจัดตั้งรัฐบาลเองหรือ
สำราญ- คือเราไม่ว่าหรอกถ้าเป็นทัศนะผม เดี๋ยวพี่เปี๊ยกเพิ่มเติมแล้วกัน เราก็คือเขาจัดตั้งได้ เขาเดินไปเถอะ เดินไปให้สุดๆ เราเข้าใจได้ว่าทำไมเขาจะต้องชิงธง ชิงอะไรกัน เพราะยังเป็นการเมืองแบบเก่าอยู่ เราก็ไม่ปฏิเสธว่าคือการเมืองใหม่มันยังไม่เกิดในชั่วข้ามคืนหรอก เราแค่ไปลงธง ปักหลักปักฐานในกิโลเมตรแรกเท่านั้นเอง ยังต้องต่อเติมอะไรอีกมากมาย เพียงแต่ว่า พอคุณจัดเสร็จแล้ว สมมติว่าจัดได้ ถ้าไม่สะดุดซะก่อน คุณก็อย่าลืมที่ผมพูดเมื่อสักครู่ด้วย อย่าลืมน้องดบว์ 2 โบว์ อย่าลืม 10 ศพ อย่าลืม 599 คน อย่าลืม 21 ศพด้วย อย่าลืมคำว่าการเมืองใหม่ด้วย ไม่อย่างนั้นสังคมก็จะมีปัญหาต่อไป นี่คือสิ่งที่ผมเป็นกังวล ภายใต้บทเรียนเมื่อปี 49 โดยสรุป
สโรชา- คือมองข้ามช็อตไปเลยว่าถ้าหากจัดตั้งได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็แล้วแต่ละ
สำราญ- ถ้าประชาธิปัตย์ พบว่าสังคมพอจะรับได้ แต่ถ้ามันยังเป็นเสนาะ เทียนทอง ยังเป็นใครต่อใคร ยังเป็น 6 พรรคเดิม เชษฐา ฐานะจาโร เป็นนายกฯ ผมว่าแบบนี้มีปัญหาเร็ว ถ้ามาเป็นสูตรที่ 2 คือ พลิกขั้ว ผมว่าชาวบ้านยังพอ เท่าที่ดูอารมณ์สังคมฟังดู เขาอยากจะดูเหมือนกันว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเรายังไม่สรุปว่าเขาจะจัดตั้งได้จริงหรือเปล่า เห็นว่าตั้งธงไว้วันศุกร์นี้ ว่าจะโหวตนายกฯ กันแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่
สโรชา- คุณพิภพ คะ เบื่อไหมคะ
พิภพ- เบื่อไม่ได้ คือถ้าเราเข้าใจประวัติศาสตร์สังคม และหลักวิวัฒนาการ และพัฒนาการของสังคม ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงรอยต่อระหว่างการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่ และผมทุบโต๊ะได้เลยว่าการเมืองใหม่เกิดขึ้นแน่นอนในอนาคต แต่ในช่วงรอยต่อมันเป็นรอยต่อยอ่างที่คุณสำราญว่า รอยต่อของการเมืองเก่า นั้นประชาธิปัตย์เนี่ย เราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่ เขากำลังเดินการเมืองแบบเก่า ซึ่งมันเป็นหมากบังคับที่ต้องเดินการเมืองแบบเก่า แต่ถ้าหมากบังคับนี้ทำให้การเมืองแบบเก่าเดินไปไม่ได้ มันยังมีปัญหาทางกฎหมายเยอะ รัฐบาลกลาง หรือรัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลอะไรมันอาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลกลาง รัฐบาลแห่งชาติเกิดขึ้นแล้วจะทำการเมืองใหม่ได้เต็มที่ เราจะมีความหวังว่าให้หลุดจากการเมืองเก่า และจะเกิดการเมืองใหม่ จากนักการเมืองหรือไม่ใช่นักการเมืองที่จะมาเป็นรัฐบาลในอนาคต มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่คุณสำราญพูดไว้ แต่เพียงแต่ผมจะย้ำมากกว่าคุณสำราญนิดนึงว่า อารณ์ความรู้สึกของสังคมต้องการการเมืองใหม่ อันนี้แน่นอน แต่ระหว่างช่วงของรอยต่อมันจะขยับอย่างไร พูดถึงปัญหาประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์กำลังเดินการเมืองแบบเก่าเข้าใจได้ แต่ปัญหาคือว่าเมื่อเดินการเมืองแบบเก่าได้เรียบร้อย จัดตั้งรัฐบาลได้เรียบร้อยแล้ว คุณอภิสิทธิ์ สมมติว่าคุณอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ สมมติก่อน จะทำการเมืองใหม่ไหม คือปัญหา ถ้าทำการเมืองใหม่แล้วพรรคต่างๆที่เคยเป็นพรรคร่วมกับการเมืองเก่า คือพรรคของคุณทักษิณ เพราะว่าการทำการเมืองใหม่ ผมคิอว่าประชาชนจะต้องกดดันเรียกร้อง และคุณอภิสิทธิ์ จะต้องก้าวข้ามพ้นการเมืองเก่า อักนั้นประชาธิปัตย์มีเวลา 3 ปี ถ้ารูปแบบตามนี้มันย้อนกลับไปในอดีตเมื่อปี 2540 ประชาธิปัตย์มีเวลา 3 ปี หลังจาก พล.อ.ชวลิต ได้ลงไป แล้วตอนนั้นมีปัญหาเศรษฐกิจ ตอนนี้ประชาธิปัตย์ก็เผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจอีกรอบ และปัญหากับรอยต่อทางความคิดที่บ่มเพาะมา 192 วัน ไม่หายไปไหนนะครับ ใครอย่าประมาท 192 วัน ถึงแม้จะมีการลอบสังหารแกนนำให้ตายไป 5 คน ก็ไม่มีประโยชน์ พูดอย่างนี้ไม่ได้กลัวตายนะ เพราะว่า 192 วัน ความกลัวตายมันหมดไปแล้ว วันหนึ่งเราจะโดนระเบิด โดนยิงเมื่อไหร่ เราไม่รู้ตัวเลย ดูซิ น้องล่าสุด อญุ่ดีๆกำฃังขนของก็ตกรถไปนิดเดียว อุบัติเหตุก็ตายได้ เพราะฉะนั้นเราผ่านเรื่องนี้มามากแล้ว เพียงแต่ว่าไปขวางสังคมไม่ได้หรอกครับ เขาใช้ความรุนแรง ผมเรียนว่าอย่าไปใช้เลยครับ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่ควรจะได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าเสื้อแดง หรือเสื้อเหลือง ไม่ควรได้รับการบาดเจ็บ หรือตายจากต่อไปนี้ ไม่อยากให้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต้องทำให้ความขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่าย จะตอ้งเสียเลือดเนื้อ เอาละ การเมืองใหม่เกิดขึ้นแน่ ประชาธิปัตย์ต้องพูดเรื่องนี้ชัดเจนว่า จะมีนโยบายต่อการเมืองใหม่อย่างไร 2.ผมคิดว่าภาระของพี่น้องพันธมิตรฯ ก็คือจะต้องร่วมแรงร่วมใจสร้างการเมืองใหม่ จะในรูปแบบไหนช่วยกันคิด ต้องเกิดให้ได้ โลกมันจะติดขัดไปหมด เราต้องการการเมืองใหม่ ต้องการการเมืองที่สะอาด ต้องการธุรกิจที่สะอาด ต้องการสังคมที่สะอาด ต้องการนักการเมืองที่สะอาด แต่ปัญหาตอนนี้คือนักการเมืองเก่าที่อยู่ในพรรคต่างๆ กำลังจะทำการเมืองเก่า คุณจะกลายเป็นคนผู้รับเคราะห์นะครับ รับเคราะห์ตรงที่ว่า ทุกคนจะประณามคุณว่าคุณไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ทุกภาคส่วนของสังคมต้องการความเปลี่ยนแปลง คิดดูซิครับ ภาคธุรกิจไม่เคยที่จะออกมาพูดชัดเจนขนาดนี้
สโรชา- เป็นกลุ่มที่ออกมาช้าที่สุด แต่ว่าหนักแน่นที่สุด ว่าต้องกาความเปลี่ยนแปลง
พิภพ- เขาควรจะออกมาช้าที่สุด เพราะว่าเขามีผลประโยชน์มากเกินไป และเคยหากินกับผลประโยชน์จากพรรคการเมืองเก่ามา อันนี้พูดอย่างไม่เกรงใจด้วยความเคารพ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ถ้าการเมืองเก่ายังดำรงต่อไป ความวุ่นวายในสังคมไม่ยุติ เพราะอย่างน้อยประชาชน ผมไม่ได้พูดถึงพันธมิตรฯนะ ประชาชนไม่ยอม ไม่ยอมที่จะให้กงล้อทางประวัติศาสตร์ หมุนทวนกลับไปอีก กงล้อทางประวัติศาสตร์ต้องหมุนไปข้างหน้า นักธุรกิจรู้ดี จึงได้ออกมาอย่างเเข็งกร้าว ว่าไม่ต้องการการเมืองเก่า ออกมาช้าโดยธรรมชาติ ทหารก็ต้องออกมาช้าที่สุด แต่ว่าก็ต้องออกมาชัดเจนว่าจะต้องการการเมืองไหน แต่ไม่ใช่ในรูปแบบการรัฐประหาร แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงตามกลไกรัฐธรรมนูญ
ผมอยากจะเรียนอย่างนี้ว่า เหตุการณ์ก่อน 19 กันยายน การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงออกมาไม่ให้เราเสนอมาตรา 7 แต่บอกว่าให้ใช้ตุลาการในการแก้ไขปัญหา อันนี้ผมว่าเป็นอัจฉริยภาพ เป็นพระมหากษัตริย์ที่นำสถาบันกษัตริย์ไปอยู่ใน เขาเรียกว่า กระบวนการประชาธิปไตย นั่นก็คือ 1 ใน 3 อำนาจที่ถูกลดทอนไป ขณะที่ 2 อำนาจมีปัญหากัน คือ อำนาจนิติบัญญัติ กับอำนาจบริหาร สร้างอำนาจตุลาการขึ้นมา จะเรียกว่าตุลาการ หรือจะเป็นอมาตยาธิปไตยหรือไม่ผมว่าไม่ใช่เป็นประเด็นหลัก แต่ว่าเป็นอำนาจที่ 3 ใน 3 อำนาจ ที่ควรจะมีบทบาทในการแก้ไขปัญหา อันนี้ผมว่าเป็นอัจฉริยภาพ แต่อำนาจของตุลาการจะไปไม่ได้เลยถ้าประชาชนไม่ภิวัฒน์ไม่ร่วมภิวัฒน์ด้วย เพราะฉะนั้นที่คุณธิพูดถึงคำว่า ประชาภิวัฒน์ ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมือง เรียกว่า การเมืองภาคประชาชน ซึ่งเป็นคำเดิม ผมคิดว่ามันมาคู่กันแล้ว หลัง 192 วันชัดเจน ก็คือตุลาการภิวัฒน์ทำงานได้ถึงแม้จะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ประชาภิวัฒน์ การเมืองภาคประชาชนร่วมทำงาน ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับนักการเมืองแล้ว ว่านักการเมืองจะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือไม่
ผมเรียนโดยตรงนะครับไม่ใช่ไปท้วงติงท่านนักการเมืองผู้อาวุโสนะครับ ท่านอย่าฝืนประวัติศาสตร์เลย เพราะประวัติศาสตร์ตอนนี้มันเคลื่อนไปแล้ว ตุลาการภิวัฒน์กับประชาภิวัฒน์เคลื่อนไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าสภานิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารไม่ภิวัฒน์ บ้านเมืองวุ่นวาย ถ้าท่านรักบ้านเมืองท่านจะต้องร่วมกันภิวัฒน์ แล้วคุณทักษิณไม่ต้องพูดถึงเขา เพราะเขาอยู่เมืองนอก เขามีเงินมหาศาล เขาไม่สนใจปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ผมไม่ว่าคุณสมชายเลย เพราะคุณสมชายเป็นเพียงหุ่นยนต์ให้คุณทักษิณ ถ้าตำหนิก็คือ คุณสมชายเสียความเป็นมนุษย์ เสียความเป็นคนที่ความดีงามสมัยเป็นผู้พิพากษาไปได้อย่างไร แต่กระนั้นก็ตาม ทุกอย่างมันถูกกำหนดโดยคุณทักษิณ ตอนนี้สังคมรู้แล้วว่า ถูกกำหนดโดยคุณทักษิณ แล้วคุณทักษิณอยู่เมืองนอก ได้กำหนดในเรื่องที่ตัวเองไม่สนใจว่าจะมีผลกระทบอย่างไรทั้งสิ้น อันนี้สังคมไทยจะต้องร่วมกันถอดคุณทักษิณออกแล้วเคลื่อนตัวออก ที่ อ.ประเวศ บอก สถานีทักษิณ รถไฟเราต้องเคลื่อนตัวออก แล้วอย่าให้คุณทักษิณมากำหนดการเมืองไทยและความเสียหายในประเทศไทยได้อีกต่อไป แล้วผมคิดว่า ตอนนี้ใกล้ ใกล้ที่คุณทักษิณจะหมดบทบาทในการกำหนดสถานการณ์ทางการเมืองไทยไปแล้ว เพราะว่า คนไทยรู้เท่าทัน โดยเฉพาะชนชั้นกลาง และชนทุกอาชีพ เพียงแต่ปัญหานักการเมืองเก่า ผมให้โอกาสนิดนึงครับ ขอปรับตัวซะเถอะ ถ้าไม่ปรับตัวผมคิดว่า
สโรชา- โอกาสสุดท้ายแล้วนะ
พิภพ- มันเป็นโอกาสสุดท้าย
สำราญ- ช่างสอดคล้องกับหมอดูนะ
สโรชา- ทำไมคะ
สำราญ- หมอดู คุณหมอบุญเลิศ ไพรินทร์ อ.บุญเลิศ บอกว่า ตั้งแต่ มี.ค.ปีหน้า ดาวมฤตยูมาแล้วทักษิณจะซวยไป 7 ปี แล้วบอกว่าถึงขั้นชีวิตด้วย ฟังดู
สโรชา- เคยฟังเหมือนกัน เห็นบอกว่าใกล้ๆ แล้ว ปลายปีนี้ต้นปีหน้า ถึงเวลาที่เขาจะดวงตก อะไรประมาณนั้น แต่ก็อยากจะมองในแง่ดีว่า นี่คือเรากำลังเคลื่อนไปสู่การเมืองใหม่ แต่ว่านักการเมือง คือภาพในสังคม ไม่ว่าคุณทักษิณจะเป็นคนชักใย แอ้มว่าสังคมเห็น คนส่วนใหญ่เห็นแล้ว อันนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ว่านักการเมืองบางส่วนยังเลือกที่จะไม่มอง ที่จะมองไม่เห็น ครั้งนี้ถ้าหากว่าคุณอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ ได้จริง ครั้งนี้จะเป็นการสั่งสอนเขาได้สำเร็จไหมคะ บรรดานักการเมืองทั้งหลายแหล่
สำราญ- ผมว่าได้ระดับหนึ่งนะ คือคุณอภิสิทธิ์ดีแน่โดยความคิดความอ่าน แต่ว่านั่นแหละ คือมันอยู่ที่โครงสร้างรัฐบาลจะเป็นตัวถ่วงรั้งเขา ซึ่งเขาต้องกล้าหลุดจากตัวนี้ ตอนนี้โอเคมันจำเป็น สมมุติมองอย่างเข้าใจ เอาใจช่วยนะ พยายามเข้าใจอย่างที่สุดแล้ว เอาใจ คือปกติอาจจะไม่ประนีประนอมขนาดนี้ แต่ว่าเอาใจช่วยเอา เพราะบ้านเมืองต้องมีรัฐบาล สมมุติจัดตั้งได้ เขาต้องมีความกล้าหาญมาก ต้องเป็นโอบามาร์กจริงๆ ไม่ใช่เป็นมาร์กเฉยๆ ต้องโอบามาร์ก ต้องอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง
สโรชา- เชนจ์ บิ๊กเชนจ์
สำราญ- ถึงแม้เรารู้อยู่ การเมืองเขาจะมาจากการเมืองแบบเก่าก็ตาม แต่ผมว่า ถ้ามีความกล้าหาญก็จะทำอะไรได้บ้าง อย่างน้อยคนก็มีความหวังขึ้นบ้าง แต่ว่าถึงขั้นจะให้เชนจ์กันสุดๆ ผมดูแล้วยังลำบาก ภายใต้โครงสร้างการเมืองแบบนี้
สโรชา- ด้วยระบบ ด้วยคน
สำราญ- ด้วยระบบ ด้วยคน ด้วยทุน คือบ้านเราทุนเป็นเรื่องใหญ่มาก ทุนมันคุมพรรค ทุนมันครอบงำหมดเลย แม้กระทั่ง พูดกันตรงๆ นะ แม้กระทั่งการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ แต่นี่เป็นเรื่องที่เราทำใจ กินยาทัมใจนิดหน่อย พอทำใจกันได้ ไม่ถึงขั้นปิดตายซะข้างหนึ่ง ไม่ถึงขนาดนั้น ถ้าแบบนั้นมันก็ทำร้ายทำลายตัวเองมากเกินไป ทำลายจิตใจตัวเองมากเกินไป
สโรชา- มีความหวังมากน้อยขนาดไหนถ้าหากว่าประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว ครม.ชุดต่อไปที่เราเห็นเราจะไม่มองแล้วแบบ อุ๊ย ยี้ ยี้มากๆ หรือยี้มากที่สุด
สำราญ- พูดตรงๆ คงจะดีกว่าในระบอบทักษิณหน่อย อย่างน้อยประชาธิปัตย์คงจะมีสติ มีปัญญาอยู่บ้าง ได้มองเห็น 192 วันของเราบ้างว่ามันเป็นอย่างไร เหมือนที่พี่พิภพว่า คือ ถ้าคุณยังสวนกระแสชาวบ้านคุณก็อยู่ไม่ได้ ประชาธิปัตย์มีสิทธิ์ล้มได้ถ้าคุณดูถูกประชาชน หรือไม่เคารพ ไม่คารวะประชาชนบ้าง
พิภพ- ผมพูดอย่างนี้เลยนะครับ ประชาธิปัตย์ฐานเสียงอยู่ภาคใต้ แต่ถ้าประชาธิปัตย์คิดว่าฐานเสียงเดิมคือกลุ่มคนที่มีความคิดแบบเดิม ก่อนเกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประชาธิปัตย์คิดผิด เพราะคนใต้ที่มาอยู่กับเรา 192 วัน ความคิดเปลี่ยนไปแล้ว หลายๆ ส่วนเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคมีปัญหาด้วย คือเป็นอุปสรรคเอาด้วย แต่ว่าเขาไม่มีทางเลือก เขาก็ยังหวัง เพราะฉะนั้นถ้าประชาธิปัตย์จะต้องเปลี่ยน ไม่ใช่เพราะสติเท่านั้น แต่ต้องดูข้อมูลฐานเสียงของตัว ว่าฐานเสียงของตัวเปลี่ยนไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าตัวเองไม่เปลี่ยน พรรคประชาธิปัตย์จะกลายเป็นพรรคในการเมืองเก่าที่เป็นพรรคที่มีปัญหาพรรคหนึ่ง จากนี้ประชาธิปัตย์ต้องเปลี่ยน ผมคิดว่าคุณอภิสิทธิ์ฉลาดพอ แต่ปัญหาว่าคนรอบตัวคุณอภิสิทธิ์ที่ยังอยู่ในภาคการเมืองเก่า ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยในพรรคประชาธิปัตย์ พูดกันอย่างยุติธรรม ก็ต้องรู้ตัวนี้อยู่ด้วย สอง ฐานเสียงใหม่ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าภาคกลาง ภาคตะวันอกเฉียงเหนือ และภาคอีสานบางส่วนที่มาร่วมกับพันธมิตรฯ ภาคเหนือบางส่วนที่มาร่วมกับพันธมิตรฯ มันจะขยายตัวไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นประชาธิปัตย์ต้องรู้ว่า ถ้าตัวเองเชนจ์ไม่พอ การเมืองใหม่ไม่พอ ถ้าเกิดมีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้น ซึ่งจับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่ตื่นตัวขึ้นในช่วง 192 วัน ที่จริงมันมากกว่า 192 วัน ถ้ารวมตั้งแต่คุณสนธิจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่บ่มเพาะกันมา มันเปลี่ยนไปเยอะนะครับ รวมทั้งสหรัฐฯ ก็เปลี่ยน สหรัฐฯ ก็เปลี่ยนเอาประธานาธิบดีหนุ่มขึ้นมา แล้วชูคำขวัญว่า เชนจ์ ผมว่ากระแสของอเมริกันก็เป็นกระแสที่มาจากข้างนอก ขณะที่กระแสของประชาชนคนไทยก็เป็นกระแสที่บ่มเพาะมาจากภายใน ต้องการเปลี่ยนแปลง นักธุรกิจ และทุกระดับ ผมแต่ก่อนอาจจะบอกเฉพาะคนรากหญ้าเท่านั้นต้องการเปลี่ยนแปลง พวกเอ็นจีโอเท่านั้นต้องการเปลี่ยนแปลง พวกนักวิชาการก้าวหน้าเท่านั้นเองต้องการเปลี่ยนแปลง ผมไปคุย 2-3 วันมานี้ ไปกินเลี้ยงกับนักธุรกิจที่เป็นพันธมิตรฯ โอ้โฮ แต่ก่อนถ้าไปคุยกับพวกนี้เขาไปคุยกันเรื่องสายลมแสงแดด คราวนี้ในโต๊ะอาหาร การคุยวงใหญ่ คุยเรื่องการเมือง เรื่องการเมืองใหม่ ยอมไม่ได้แล้วที่จะให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น แล้วคนพวกนี้เป็นกลุ่มทุน แล้วพร้อมที่จะอยู่ในการเมืองใหม่ที่สะอาด แล้วจะทำตัวเป็นทุนที่สะอาด เป็นนักธุรกิจที่สะอาด แล้วพร้อมแข่งขันแบบสะอาด อันนี้ผมว่าเปลี่ยนไปเยอะนะครับ ก็เลยอยากเรียนคุณอภิสิทธิ์ เรียนกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ว่า ฐานเสียงของคุณยังเป็นฐานเสียงเดิม แต่เนื้อหาสาระเขาเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าท่านจับเนื้อหาสาระที่เปลี่ยนไม่ได้ท่านจะลำบาก รวมทั้งการตั้ง ครม.ที่คุณแอ้มพูดเมื่อสักครู่ คุณสำราญเสริมเมื่อสักครู่นี้ แล้วที่สำคัญคือ นโยบาย แล้วผมเรียนด้วยความเคารพนะครับ นโยบายประชานิยม จะชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่ แต่เป็นนโยบายที่มันไปถึงคนระดับประชาชนรากหญ้า คุณทักษิณทำนโยบายนี้ไม่มีคุณภาพ เพื่อหาเสียงทางการเมือง แล้วใช้ทุจริตในหมู่คณะรัฐมนตรีได้ไปมากกว่าที่ให้กับประชาชน หน้าที่ของพรรคการเมืองใหม่ การเมืองใหม่ก็คือ ทำให้ประชาชนเหล่านี้อย่างมีคุณภาพ แล้วนักการเมืองจะต้องเสียสละ ถึงเวลานักการเมืองต้องเสียสละ ไม่หากินทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แน่นอน ประชาชนก็ต้องเสียสละพร้อมบริจาคเงินให้นักการเมืองที่เสียสละด้วย ในการเลือกตั้ง มันต้องกลับตาลาปัดกันหมดเลย
สโรชา- มันต้องตรงกันข้ามในสิ่งที่เราเห็นมาเป็นหลายสิบปี
สำราญ- มันต้องย้อน นี่คือข้อดีของพันธมิตรฯ นะคุณแอ้ม รู้สึกคุณคำนูณจะเขียนไปนิดหน่อยวันนี้ คือลักษณะพิเศษของพันธมิตรฯ ที่น่ารักมาก คือการบริจาค ผมว่าเงิน ตัวเลขน่าจะร้อยกว่าล้าน ถ้าเรามองถึงการขายสินค้า มองเงินบริจาคเหล่านี้ของพี่พิภพด้วยนะ ต้อง 200 กว่าล้านงานนี้ 192 วัน แล้วไม่หมดนะครับ บางคนโอ้ย เหี่ยวแล้วๆ ฝ่ายตรงข้ามประเมินว่า มันเหี่ยวแล้ว บางคนบริจาคไม่ไหวแล้ว บริจาคกัน 20 ครั้งมีที่ไหน บางคนผมว่า 40-50 ครั้ง นี่คือลักษณะพิเศษ
พิภพ- คุณสำราญนิดนึง ผมว่าคุณคำนวณตัวเลขต่ำไปนะ 100 ล้าน คือคิดว่าที่จ่าย ทุกคนที่จ่ายตลอดเวลา
สำราญ- ไม่ๆ ที่บริจาค ASTV
พิภพ- อ๋อ อย่างนั้นเข้าใจ
สำราญ- ที่นี้มันมีกองทุนสู่คดีของพี่พิภพ 38 ล้านแล้ว มันมีเสื้อแบบคุณแอ้มใส่ อีก 40-50 รุ่น สินค้าต่างๆ
สโรชา- แสดงว่าพลังตรงนั้นมี พลังทุนที่จะสร้างการเมืองใหม่ ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มทุนทางธุรกิจที่เป็นรายใหญ่ๆ ด้วย เราพูดแค่ประชาชนทั่วๆ ไปที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง เขาพร้อมที่จะเป็นทุนให้กับนักการเมืองที่สะอาด ที่มือสะอาด
พิภพ- นอกจากบริจาคแล้ว ค่าใช้จ่ายส่วนตัวในการที่มาผมว่าคงไม่ต่ำกว่าแสนนะ แม้แต่ผมเองยังควักเนื้อไป ต้องจ่ายคนที่มาช่วยดูแล มาทำงาน
สำราญ- ผมค่าโรงแรมก็หลายหมื่นแล้ว เบิกกองทุนได้ไหม
พิภพ- เพราะฉะนั้นผมว่าเป็นพันล้าน ไม่รวมการบริจาค คือประชาชนพร้อมที่จะจ่าย
สโรชา- คือที่หมุนเวียนทั้งหมด
พิภพ- จะจ่ายเพื่อการเมืองใหม่ ทุกคน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า เวลาเราบอกว่า เป่านกหวีดมาชุมนุม วันเดียวเขาไม่ค่อยมีความสุข เพราะเขาต้องลงทุนเดินทางมาเป็นพันๆ บาท หลายพันบาท เพราะฉะนั้นควรจะอยู่สัก 2-3 วัน
สโรชา- ขออยู่นานหน่อย
พิภพ- เพราะฉะนั้นพูดกันตรงๆ คือประชาชนพร้อมจะจ่ายเพื่อการเมืองใหม่ เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะฉะนั้นเมื่อพร้อมจะจ่าย พร้อมเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถ้ามีพรรคการเมืองที่ประชาชนรู้สึกว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผมคิดว่าผมพร้อมจะจ่าย อันนี้ผมพิสูจน์มาแล้วจากอีสติมอร์ มันไม่ใช่เรื่องการศึกษาเลย อีสติมอร์ เป็นอาสาสมัครขององค์การสหประชาชาติ ในนามองค์กรพัฒนาเอกชน ไปดูการเลือกตั้ง คนมาลงคะแนนเสียง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ทั้งที่อินโดนีเซียพยายามขัดขวางมาก ขัดขวางแรงกว่าเรามาก ทั้งระเบิด ทั้งยิง ผมไปกับชาวญี่ปุ่น เดินไปในหมู่บ้าน เพื่อไปที่ศูนย์กลางดูการเลือกตั้ง ไปขอพักที่องค์การศาสนา องค์การหนึ่งยังไม่พักเลย ต้องไปขอพักตามหมู่บ้าน เพราะเขารู้สึกอันตราย ปรากฏว่าคนเดินทางมา 90 เปอร์เซ็นต์ มาก่อน 1 วัน ไม่ใช่เรื่องการศึกษา หรือมีไม่มี แต่เขารู้สึกว่าถ้าเขามาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแล้วมันเกิดการเปลี่ยนแปลง เขามา คือการลงมาจากภูเขา ผมน้ำตาไหลเลย เข้าคิวตั้งแต่ตี 5
สโรชา- เพื่อมาใช้สิทธิ์
พิภพ- ถ้าประชาชนรู้สึกว่าเมื่อเขามาลงคะแนนเสียง หรือเขามาเคลื่อนไหวทางการเมือง แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น เขาพร้อมจะเสียสละ
สโรชา- ว่าเสียงของเรานี้มีอิทธิพลนะ
พิภพ- ถ้ามาแล้วไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เขาก็นอนหลับทับสิทธิ์ ผมอยากจะเรียนพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองอื่นๆ ถ้าคุณไม่ปรับตัว ถ้ามีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้น แล้วสามารถบอกกับประชาชนว่าถ้าเลือกพรรคเขาจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพราะประวัติศาสตร์ไม่ย้อนหลับแล้ว ผมคิดว่าขอให้ปรับตัว
สโรชา- ถึงเวลาแล้ว
สำราญ- ในช่วงต่อไป คุณแอนจะคุยกับรัฐบาลเฉพาะกาล
สโรชา- คุณไชยวัฒน์ กับคุณไทกร
สำราญ- จะมาที่นี่ใช่ไหมครับ คือถ้ามองในเชิงข่าว ผมว่าประชาธิปัตย์ไปได้กว่า 60 เปอร์เซ็นต์แล้วละ แต่มันก็ยังไม่มีอะไรแน่นอนเลย
สโรชา- คุณเฉลิม เป็ดเหลิม บอกว่า หัวเราะทีหลังดังกว่า
สำราญ- แล้วก็ขบวนการตุลาภิวัฒน์ ที่พี่พิภพพูดถึงยังต้องทำงานจนหยุดสุดท้ายในเรื่องการตีความอะไรต่างๆ เพราะมีปัญหาข้อกฎหมายมาก ซึ่งเราไม่พูดตรงนี้ เพราะหลายรายการพูดแล้วพูดอีก ประมาณ 4-5 ประเด็น ปัญหาข้อกฎหมายเหล่านี้อาจจะต้องเคลียร์กันก่อนไหม ทำให้จบสิ้นกระแสความก่อนไหม ไม่อย่างนั้นถ้าเดินหน้าต่อไปแล้วมีปัญหามันก็ยุ่งอีก ดังนั้นถึงแม้จะไป 65 เปอร์เซ็นต์แล้ว หลายคนภาวนา เราเองก็ปราถนาดีต่อประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้าทุกอย่างมันเคลียร์ก่อนก็น่าจะดีกว่า ปัญหาข้อกฎหมาย อะไรต่างๆ อันนี้ก็ตุลาการภิวัฒน์ต้องทำงานจนนาทีสุดท้ายจริงๆ
สโรชา - ทำงานไม่จบ หน้าที่ยังไม่จบ
สำราญ- ต้องชื่นชม
พิภพ- ประชาภิวัฒน์ต้องช่วยตุลาการภิวัฒน์
สำราญ -แล้วประชาภิวัฒน์ตอนนี้อยู่ตรงไหน
พิภพ- ผมคิดว่าอยู่ในใจของคนจำนวนมาก คุณคำนูณคำนวณไว้ 10 ล้าน ผมคำนวณว่ามากกว่านั้น มันอยู่ในใจคนแล้วดึงไม่ออกแล้ว เพียงแต่ว่าเขาจะแสดงออกที่สาธารณะอย่างไรเท่านั้นเอง
สโรชา- มีเรื่องหนึ่งอยากเรียนถามทั้ง 2 ท่านในฐานะเป็นแกนนำทั้งคู่ วันนี้มีข่าวว่า รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ คุณลอยเลื่อน บุนนาค จะรวบรวมข้อมูลเตรียมทำจดหมายเหตุ รวบรวมภาพเหตุการณืพันธมิตรฯ บุกยึดทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 51 เก็บไว้เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ แล้วแจกให้ผู้ที่สนใจ โดยจะหารือรายละเอียดและรูปแบบอีกครั้งหนึ่ง แต่มีแนวคิดว่าจะทำจดหมายเหตุเพื่อบันทึกเหตุการณ์การบุกยึดทำเนียบรัฐบาลของพันธมิตรฯ เพื่อจะเก็บไว้ให้ลูก หลาน เหลน โหลนเราได้รับทราบข้อมูลเหตุการณ์ครั้งนี้
สำราญ- ทำเพื่อประจารณ์หรือทำเพื่อเป็นที่ระลึกในเชิงบวก
พิภพ- ผมเรียนอย่างนี้นะครับ ใครจะทำก็ได้ แต่ต้องทำความจริงทุกด้าน ถ้าไม่ทำความจริงทุกด้าน กระบวนการการเรียนรู้ของสังคมจะไม่รอบด้าน ผมอยากจะเรียน ปัญหาของสังคมไทยคือ เราให้คนเรียนรู้ความจริงด้านหนึ่งแล้วเรียนความเท็จไปพร้อมๆ กันนี่เป็นปัญหาของระบบการศึกษาไทย และสื่อมวลชนไทย เพราะฉะนั้นผมอยากจะเรียนคุณลอยเลื่อนว่า ควรทำ แต่ทำให้ครบความจริงทุกด้าน แล้วมองให้รอบด้าน ทางที่ดีทำเนียบอย่าทำเอง ขอให้ตั้งคณะกรรมการทางวิชาการที่เป็นทางการ แล้วเข้าใจการเคลื่อนตัวของสังคม เป็นคนทำจะดีกว่า มิเช่นนั้นก็เหมือนประวัติศาสตร์ 6 ต.ค. 14 ต.ค. พฤษภา 35
สโรชา- ใครเขียนคนนั้นก็กำหนด
พิภพ- ใครเขียนคนนั้นจะเขียนด้านเดียว แล้วกำหนด แล้วซ่อน แล้วปัญหาของสังคมไทยที่เกิดขึ้น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพราะว่า คนรู้ความจริงไม่เสมอกัน ไม่เท่ากัน และถูกปิดบังความจริงโดยอำนาจรัฐ ผมอยากจะเรียนว่าถ้าจะให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย จะต้องใช้กรรมการที่เป็นกลางในการดูเรื่องนี้จะดีกว่า
สโรชา- วันนี้ยกตัวอย่างสั้นๆ เลยนะคะว่า มีการนำเจ้าหน้าที่ไปดำคลองผดุงกรุงเกษม เพื่อที่จะหาอาวุธ อันนี้เป็นข่าวไปทั่วทุกสื่อ ฟรีทีวีเผยแพร่ภาพหมด เพราะว่าเป็นภาพที่น่าสนใจ ดำน้ำกันหาอาวุธกันกระจองงองแง แต่สิ่งที่แอ้มไม่เห็นเลยคือผลของการหา หลายๆสื่อเขียนกันสั้นๆ หรือเล่าสั้นๆว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจพาชุดประดาน้ำเข้าไป ดำน้ำในคลองผดุงฯ และบริเวณรอบทำเนียบฯ เพื่อหาอาวุธที่พันธมิตรฯ แอบซ่อนเข้าไว้ แต่เพิ่งมีสื่อไม่กี่สื่อที่รายงานต่อว่า แต่ไม่พบอะไร พบแค่ท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้นเอง คือไม่มีบทสรุป ใครที่ฟังข่าวแรกไปก็จะคิดในใจว่า ถึงขั้นเอาอาวุธไปแอบไว้ในน้ำในคลอง แต่ว่าบทสรุปที่ไม่เจออะไร แทบจะไม่มีสื่อไหนรายงาน
สำราญ- พอสื่อแบบนี้ปั๊บ สังคมส่วนใหญ่ ดูไม่จบใช่ไหมคุณแอ้ม เขาจะเข้าใจว่าพวกพันะมิตรฯ ร้ายกาจมาก เอาอาวุธมาทิ้งในคลอง เลวจริงๆ ฟังแล้วอยากร้องไห้นะ คือสื่อก็เช่นเดียวกัน ทำไมไม่มาสอบถามว่าเอ็ม 79 ใครยิง ยิงมาจากจุดไหน น้องโบว์ที่ 2 กมลวรรณ เป็นใคร อะไรอย่างนี้ มันเลยไม่รู้จะร้องเพลงอย่างไรสังคมนี้ คงต้องใช้เวลาอีกนานยาวพอสมควร
พิภพ- คือที่คุณลอยเลื่อน ใช่ไหมครับ ที่จะทำเรื่องความเสียหายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความเสียหายซึ่งเราไม่รู้ว่าใครทำ เพราะว่าแกนนำพันธมิตรฯ ไม่ว่ารุ่น 1 รุ่น 2 ประกาศชัดเจนว่า เราจะดูแลให้ดีที่สุด แต่แน่นอนในคนหมู่มาก เราก็ไม่รู้เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะสืบต่อไป แต่ผมคิดว่าคุณลอยเลื่อนจะต้องให้ความสำคัญกับการเสียชีวิตด้วย เหมือนอย่างที่คุณสำราญบอก ว่าเอ็ม 79 มาจากไหน ยิงมาจากข้างนอกแน่นอน อาวุธผ่านหลังคา อันนี้ต้องพูดถึง แล้วการเสียชีวิตของพันธมิตรฯ ที่เป็นระยะมา บอกได้ไหมว่าฝ่ายรัฐบาลรู้เห็น คำของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการหลิ่วตาของรัฐบาล เหล่ตา หรือเหล่ตา คือทำเป็นว่าไม่ได้ทำ แต่รู้นะว่าใครทำ แต่ไม่ป้องกันอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่ควรจะถามคือว่า ระหว่างพันธมิตรฯ กับรัฐบาลใครทำความเสียหายให้กับสังคม รัฐบาลเป็นผู้บริหาร จะต้องแก้ไขปัญหา ในเมื่อเสียงประชาชนเป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน เอาข้อมูลคุณคำนูณละกัน รัฐบาลต้องตระหนักแล้วว่า ถ้าบริหารประเทศต่อไป จะเกิดความเสียหาย แต่รัฐบาลไม่หยุดการบริหาร การยึดสนามบินพันธมิตรฯ บอกว่านายกรัฐมนตรีลาออกเท่านั้น ถ้าเป็นประเทศอื่น นายกรัฐมนตรีเขาลาออกทันที เพราะเขาถือว่าเขาดูแลไม่ได้ และจะก่อให้เกิดความเสียหาย
สโรชา- หลักชั่วโมงเลยนะคะ ไม่ต้องข้ามวันด้วยซ้ำ
พิภพ- ชั่วโมงเดียวเลย ต้องออกทันทีเพื่อหยุดยั้ง และเพื่อจะให้พันธมิตรฯ เลิกในการที่จะยึดสนามบิน ทั่วโลกเขาทำอย่างนี้ทั้งนั้น ทันทีที่มีระเบิดเอ็ม 79 รัฐบาลต้องลาออกทันที ย้อนหลัง 7 ตุลาฯ รัฐบาลต้องลาออกทันที
สำราญ- 7 ตุลาฯ ผมว่าชัดเจนที่สุด
พิภพ- ต้องดูว่าใครละที่ทำให้ความเสียหายมันกระเพื่อมและต่อเนื่อง คือรัฐบาลที่ไม่มีความรับผิดชอบในการบริหารประเทศ ผมว่าไปเชื่อคนที่สังคมเชื่อแล้วว่าบงการอยู่นอกประเทศ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย อันนี้ซิสังคมจะต้องดูตัวนี้ หน้าที่ของประชาชนอย่างพวกเรา ในฐานะใช้สิทธิ์ตามเสรีภาพ เรามีหน้าที่ต้องมาชุมนุมโดยสงบ และสันติ อันนี้ก็ประกาศชัดเจน ใครไม่สงบไม่สันติ ไม่ถือว่าเป็นพันธมิตรฯ เมื่อรัฐบาลไม่สามารถดูแลความสงบและสันติได้ ซึ่งเกิดมาจากฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายรัฐบาลรู้เห็นเป็นใจแล้วไม่ตรวจ รัฐบาลต้องรับผิดชอบ อันนี้ผมว่าสังคมต้องมองกลับ นักวิชาการต้องมองกลับ ใครที่จะต้องรับผิดชอบกับการตายใน 10 คน
สโรชา- เวลาช่วงนี้คงหมดลงเพียงเท่านี้พ่อแม่พี่น้อง เพียงแต่ว่าในวันข้างหน้าจะมีแกนนำแวะเวียนมาทักทายกับพ่อแม่พี่น้อง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ได้พูดคุยกันผ่าน ASTV เดี๋ยวขอบพระคุณทั้ง 2 ท่านนะคะที่มาร่วมรายการ เดี๋ยวคงจะได้เจอกับพี่สำราญทุกวันอยู่แล้ว และสำหรับพี่พิภพคงจะได้มาพบกันอีกบ่อยๆ จะได้ร่วมพูดคุยกัน
สำหรับอตนนี้เดี๋ยวเราไปพักกันแป้บเดียว กลับมาจะเจอกับหนุ่มหล่อ 3 คน ในวง ก.ไก่ พ่อแม่พี่น้องคิดถึงกัน เดี๋ยวจะได้มาถามไถ่กันว่าในช่วงที่ผ่านมา ห่างหายจากเวทีพันธมิตรฯ ไปคิดถึงพันธมิตรฯบ้างหรือเปล่า แล้วก็มาฟังเสียงดนตรีกัน
สำราญ- แล้วหนุ่ม 2 คนนี้ไม่หล่อเหรอ
สโรชา- หล่อซิคะ
พิภพ- ก็เห็นบอกว่าหนุ่มหล่อ
สโรชา- หนุ่มน้อย
สำราญ- หนุ่ม ฮ.นกฮูก
สโรชา- พักสักครู่คะ เดี๋ยวกลับมา
พิภพ- ครับ ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง และคิดว่าจะไประยะหนึ่ง เพราะว่าเป็นความรับผิดชอบของ 5 แกนนำ ที่ดูแลเงินบริจาค เราก็ต้องจัดการเงินบริจาคไปให้ทั่วถึง และความเหมาะสม ตอนนี้เงินบริจาคจนถึงวันที่ 3 ธ.ค.นะครับ เฉพาะผู้บาดเจ็บ 32,009,321.22 บาท ซึ่งเงินบริจาคทั้งหมดจะเข้าที่ธนาคารกสิกรไทย นะครับ สำหรับผู้เสียชีวิต บริจาคสำหรับผู้เสียชีวิต 6,051,381.58 บาท รวมทั้งหมดถึงวันนี้ 38,060,702.77 บาท ส่วนรายจ่าย อยากจะเรียนให้ผู้บริจาคที่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ทราบว่า การจ่ายทั้งหมดจะจ่ายเป็นเช็ก โดยเอซีเพยี่โอลี่ ไปยังผู้ที่มีสิทธิ์รับตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น ภรรยา หรือพ่อ หรือแม่ หรือผู้ที่บาดเจ็บอยู่ จะไปยังผู้บาดเจ็บโดยตรง สำหรับผู้บริจาคเพิ่มเติมวันนี้ก็มี 7,000 บาท จากคุณทราย คุณพราว บริจาคผู้บาดเจ็บ แล้วก็เป็นธนาณัติ 3,000 บาท จากคุณสุดศรี กาญจโนใหม่ โดยบริจาคมาทางธนาณัติ และผมคงจะจัดการเข้าบัญชีกระแสรายวัน เราเปิดบัญชีเดียวนะครับ บัญชีกระแสรายวัน ไม่มีบัญชีออมทรัพย์ แล้วเช็กทุกใบจะต่อเอซีเพยี่โอลี่หมดนะครับ
อยากจะรายงานให้ทราบว่า ผู้เสียชีวิตคนสุดท้าย ที่สุดท้ายสำหรับวันนี้นะครับ โดยเป็นอุบัติเหตุเล็กขณะขนของในคืนวันที่เราได้เลิกออกจากทำเนียบ ก็มีอุบัติเหตุเล็กๆ แต่ว่าร้ายแรงมาก คือทำให้เสียชีวิตเกือบทันที ต้องไปอยู่ในโรงพยาบาลหลายวัน ระหว่างอยู่โรงพยาบาลก็สลบ ตอนนี้ก็เสียชีวิตแล้ว คือนางสาวศศิธร เชยโสภณ อายุ 32 ปี เป็นการ์ดอาสา มาทำงานทุกวันที่ตรงทำเนียบรัฐบาลด้าน สน. คือด้านสะพานมัฆวานฯ จะมีการสวดศพไปจนถึงวันพฤหัสบดีนี้ ที่ศาลา 8 วัดมงกุฎ แล้วจะเผาในวันอาทิตย์ที่ 14 เวลา 14.00 น. จะเว้นการสวดศพ 2 วัน ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะมาแจ้งให้ทราบ ก็น่าเสียดายและน่าเสียใจมาก เธอมีคู่หมั้นคู่หมายที่กำลังจะแต่งงานกัน ก็มาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเล็กๆ ซึ่งแต่กลายเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงจนเสียชีวิต ผมต้องขอรายงานเพิ่มเติมนิดหน่อย ขอเวลาท่านผู้ชมผู้ฟัง เพื่อนพันธมิตรฯ ว่าเราได้ช่วยเหลือไปแล้วโดยไม่ได้เอ่ยนาม สำหรับผู้เสียชีวิต 10 ราย คนที่ได้เสียชีวิตเป็นลม หรือหัวใจวายในทำเนียบฯ จ่ายไปแล้วจำนวน 8,723,180 บาท การจ่ายทั้งหมดจะปรึกษาทนายความ และจ่ายตรงไปยังผู้มีสิทธิตามกฎหมาย โคม่า 2 ราย จ่ายไปแล้ว 560,000 บาท ผู้เสียแขนและขา 5 ราย จ่ายแล้ว 2,085,010 บาท ผู้สูญเสียนิ้ว 4 ราย จ่ายไปแล้ว 740,000 บาท ผู้เสียตา 2 ราย และสูญเสียอวัยวะ 3 คน จ่ายไปแล้ว 902,000 บาท ขาหัก และเนื้อฝ่าเท้าหาย 8 คน จ่ายไปแล้ว 1,130,000 บาท สูญเสียการได้ยินชั่วคราว 3 คน จ่ายไปแล้ว 190,000 บาท ไฟลวกตามร่างกาย และเป็นแผล 23 ราย จ่ายไปแล้ว 934,000 บาท บาดแผลตามตัว และอวัยวะต่างๆ 34 ราย จ่ายไปแล้ว 425,270 บาท และบาดเจ็บเล็กน้อย 436 ราย จ่ายไปแล้ว 2,652,640 บาท บาดเจ็บวันที่ 30 ตุลาคม 9 คน จ่ายไปแล้ว 348,000 บาท โคม่าอยู่ในวันนี้ด้วย และบาดเจ็บวันที่ 2 กันยายน ที่สะพานมัฆวาน 5 คน จ่ายไปแล้ว 60,000 บาท บาดเจ็บ 1 คน 8 พฤศจิกายน จ่ายไปแล้ว 76,305 บาท บาดเจ็บ 11 พฤศจิกายน 4 คน จ่ายไปแล้ว 40,000 บาท บาดเจ็บ 22 พฤศจิกายน 7 คน จ่ายไปแล้ว 90,000 บาท บาดเจ็บ 20 พฤศจิกายน 3 คน จ่ายไปแล้ว 80,000 บาท ที่ต้องบอกว่าบาดเจ็บวันนี้ๆ เพราะเดิมทีเราคิดว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดในวันที่ 7 ตุลาคม แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ถูกกระทำจากฝ่ายรัฐบาลในการเข้ามาทำร้ายเรา และใช้อาวุธนานาชนิดในหลายครั้งหลายหน
สำหรับบาดเจ็บ 28 พฤศจิกายน 50 คน จ่ายไปแล้ว 16 ราย กำลังจะจ่ายตามอีกในการบาดเจ็บระยะหลังกำลังตามจ่าย จ่ายไปแล้ว 515,280 บาท บาดเจ็บ 1 ธันวาคม 22 คน จ่ายไปแล้ว 17 ราย 478,739 บาท และอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องคดี เกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ ก็จ่ายไปอีก 300,000 และอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับที่เป็นของหมอ 300,290 บาาท ส่วนคดีความก็จ่ายไป 300,000 บาท รวมทั้งหมดจ่ายไปแล้ว 20,360,714 บาท โดยมีรายลับอยู่ตอนนี้รวมทั้งหมด 38,060,702.77 บาท ซึ่งคงเหลือเงินอีกประมาณ 18 ล้าน เราก็จะทยอยจ่ายคนที่ยังขาดการจ่าย และอาจจะจ่ายเพิ่มสำหรับคนที่มีอาการเพิ่มขึ้น อยากจะเรียนให้ทราบว่าถึงบัดนี้มีผู้เสียชีวิต 10 ราย สาหัส 21 ราย มีบาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลาง 599 ราย ยังรักาาตัวอยู่ในโรงพยาบาลรามาธิบดี 5 คน ภูมิพล 2 คน ทหารผ่านศึก 1 คน และขอขอบพระคุณผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ ที่รับรักษาให้ฟรี 14 คน โดยไม่คิดสตางค์เลย โรงพยาบาลนี้เป็นเอกชนด้วย อยากจะเรียนอย่างนี้ ว่าเงินทั้งหมดมี 38,060,702.77 บาท เราจ่ายไปแล้ว 20,360,714 บาท ส่วนที่เหลือจะตามจ่าย มีบางรายไม่ได้มาแจ้ง เราพยายามจะตามจ่าย ตามเยี่ยมตามโรงพยาบาลต่างๆที่ยังมีผู้บาดเจ็บสาหัสอยู่
อยากจะเรียนอีกนิดนึงครับว่า เราจะจ่ายให้หมด 38 รายแน่นอน เราจะจ่ายให้เฉพาะผู้มีสิทธิรับตามกฎหมายเท่านั้น ส่วนผู้มีสิทธิรับตามกฎหมาย จะไปจ่ายให้กับผู้ดูแลอย่างไรให้เป็นการตัดสินของท่านนั้นๆเอง ยกตัวอย่างเช่น ผู้พิการ 2.การดูแลผู้พิการ ซึ่งเงินตรงนี้อาจจะหมด เราก็จะรณรงค์ต่อไปยังมูลนิธิต่างๆ หรือผู้บริจาคต่างๆว่าผู้พิการที่อาจจะทำงานไม่ได้เลยไปอีกนานเราจะดูแลเขาอย่างไร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพี่น้องพันธมิตรฯ และมูลนิธิต่างๆ ว่าจะช่วยดูแลต่อเนื่องหลังจากเงิน 38 ล้านนี้หมด ซึ่งผมจะมารายงานให้ทราบเป็นระยะ
สำหรับทุนการศึกษา มีมหาวิทยาลัยหลายที่ และมูลนิธิบางมูลนิธิที่มีชื่อเสียง แต่ไม่ออกนาม ได้ออกตัวมาแล้วว่าพร้อมจะให้ทุนการศึกษา เพราะฉะนั้นเรื่องทุนการศึกษาจะทำต่อเนื่อง นอกจากนั้น ตอนนี้โครงการช่วยเหลือเราได้เข้ามาอยู่ในโครงการหนึ่งของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน รวมทั้งโครงการของท่าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ด้วย ให้เข้าไปอยู่ในความดูแลของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แต่การตัดสินใจมูลนิธิให้อำนาจตัดสินใจในโครงการของ พล.ต.จำลอง ตัดสินใจ ในส่วนของผมที่ดูแลผู้บาดเจ็บ ให้ผมตัดสินใจแต่ผมจะต้องทำรายงานไปยัง 5 แกนนำ และมูลนิธิ และก็นำมาแจ้งผู้ชม ในรายการ ASTV ส่วนในรายการต่างๆเหล่านี้เราจะลงในอินเตอร์เน็ต หรือเว็บไซต์ของผู้จัดการเพื่อให้ตรวจสอบได้ อยากเรียนให้ทราบ ในระยะยาวเราจะขอความร่วมมือกับมูลนิธิอีกหลายมูลนิธิ ที่จะเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจากเหตุการณ์ต่างๆ ผมหวังว่าเราจะได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิ ตอนนี้เราประสานมูลนิธิต่างๆ เพื่อจะดูแลในส่วนที่เงินบริจาคได้หมดไป แต่อยากจะเรียนนะครับว่าเราดูแลเต็มที่ ตามที่ความศรัทธาของผู้บริจาคได้ให้ เราจะใช้จ่ายอย่างเต็มที่ ค่าใช้จ่ายต่างๆ เราจะอาศัยองค์กรต่างๆ ที่เข้ามาดูแลเราข้างหลังช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในการจัดการ แต่เงินบริจาคทั้งหมดจะพยายามไปให้ถึงมือของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ผู้พิการ และสามารถตรวจสอบได้
ผมอยากจะเรียนอย่างนี้ สำหรับผู้ที่ตกหล่นนะครับ แล้วก็ไม่สามารถเข้าถึงผมได้และทีมงานได้ ขอให้แฟกซ์รายละเอียดไปที่เบอร์เดี๋ยวจะขึ้นหน้าจอนะครับ 0-2814-0364 เป็นเบอร์แฟกซ์ ส่งรายละเอียดและเบอร์โทรศัพท์ นะครับกลับมา แล้วเล่าเหตุการณ์ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บแล้วยังไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างไร ถ้าให้ดี เนื่องจากเหตุการณ์มันยาวนานมาแล้ว อาจจะมีใบรับรองแพทย์ หรือใบการรักษา ซึ่งเนื่องมาจากเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ ทั้งเหตุการณ์ก่อนวันที่ 7 ต.ค. เราจะช่วยเหลือ แม้แต่ที่อุดรธานี นะครับ ส่วนเงินบริจาคถ้าไม่พออย่างไรเราจึงจะมาขอกราบเรียน รบกวนพ่อแม่พี่น้องในการบริจาคต่อไป แต่ตอนนี้เราพยายามจะใช้เงินบริจาคที่มีอยู่ให้ถึงผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต และผู้พิการให้เต็มที่ที่สุดก่อนครับ
สโรชา- ขอบคุณค่ะพี่พิภพ นี่คือรายละเอียดในเรื่องของการบริจาค และในส่วนของการที่พันธมิตรฯ ได้จ่ายไปยังผู้ที่เสียหาย ทั้งผู้พิการ ทั้งผู้ที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลด้วย ถ้ามีเพิ่มเติมอย่างไรเราจะใช้เวทีนี้เป็นเวทีที่จะชี้แจงกับพ่อแม่พี่น้อง แล้วถึงเวลาแล้วถ้าหากว่าเรา ในฐานะพันธมิตรฯ ยังคงต้องดูแลผู้พิการในระยะยาว เราคงจะได้ขอความกรุณา ขอความเมตตา และขอความเข้าใจจากพ่อแม่พี่น้องอีกครั้งหนึ่งนะคะ
พิภพ- ขอเพิ่มเติมอีกนิดได้ไหมครับ คือตอนนี้มีการคุกคามจากฝ่ายรัฐ คิดว่าเป็นฝ่ายตำรวจมากกว่าที่ยังไม่มีความเข้าใจ ได้มีการคุกคามพ่อแม่พี่น้องที่ปรากฏรูปในหนังสือพิมพ์ก็ดีนะครับ หรือมีชื่อตามโรงพยาบาลก็ดี เข้าไปคุกคามเพื่อให้พวกนี้ไม่มีงานทำ หรือไม่สามารถทำงานได้
สโรชา- เขาทำอะไร เขาทำยังไงบ้างคะวิธีการ
พิภพ- ไปคุกคามกับบริษัทที่คนนี้ทำงานอยู่อะไรอย่างนี้เป็นต้น หรือบางคนจะไปทำธุรกิจส่วนตัว ก็ไปคุกคามไม่ให้เกิดธุรกิจให้ได้ อันนี้ผมคิดว่าอำนาจรัฐทำมากเกินไปแล้ว ทำมากเกินไป เพราะการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ อันนี้อยากเรียนให้ทราบ เพราะฉะนั้นถ้าต่อไปใครถูกคุกคามใดๆ ถ้าแน่ใจส่งชื่อมา สำหรับตำรวจที่คุกคาม แต่เราจะระมัดระวัง จะไม่เปิดเผยชื่อนายตำรวจนั้นจนกว่าจะเช็กได้ ก็อยากจะเรียน นอกจากนั้นก็ยังมีการคุกคาม ในการขู่ว่าจะจัดการใช้มือปืนมาจัดการ โดยนายตำรวจใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ผมทราบชื่อแล้ว ที่จะมาคุกคาม ไม่ใช่แต่ 5 แกนนำเท่านั้น อาจจะคนอื่นๆ อีก อันนี้ผมอยากจะเรียนว่า ประชาธิปไตยจะไม่ไปไหนถ้าอำนาจรัฐยังใช้อำนาจคุกคามในการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความถูกต้อง อยากจะเรียนไปยังอำนาจรัฐที่ต้องรับผิดชอบ ให้ดูแลนายตำรวจนอกแถวของตัว ว่าการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนไม่ควรจะเกิดขึ้นในโลกประชาธิปไตยสมัยใหม่ แล้วพ่อแม่พี่น้องพวกนี้พร้อมจะทำงานตามปกติ ผมคิดว่าขอให้ชีวิตกลับมาสู่ความปกติ แล้วการเมืองดำเนินต่อไป เราจะออกมาก็ต่อเมื่อการเมืองมีความไม่ถูกต้อง แล้วจะออกมาโดยสันติวิธีและอหิงสาเท่านั้น อันนี้เป็นสิทธิของประชาชน คำว่าเราคงไม่ได้หมายตัวผม หมายถึงประชาชนทุกคนควรจะมีสิทธิในการที่จะมาทำความถูกต้องให้กับสังคม และระบอบประชาธิปไตยดำเนินการไปได้
สโรชา- จริงๆ แล้วไม่อยากจะขอให้ภาครัฐเข้ามาป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเลย อย่าสนับสนุนก็พอนะพี่สำราญ อย่าสนับสนุนให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น คือไม่อยากจะหวังไปไกล
สำราญ- ใช่ครับ คือให้มันลดน้อยลงหน่อย แต่ผมมองว่ามันยาก คือมันต้องเปลี่ยนโครงสร้างรัฐบาลครั้งหนึ่งก่อน ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
สโรชา - พี่สำราญโดนคุกคามบ้างไหมคะ
สำราญ- ของผมพักหลังก็มีคงตามอยู่บ้าง แล้วก็มีไปกดกริ่งก่อกวนอยู่บ้าง นานๆ นะครับ ตอนนู้น ตอนที่ใหม่ๆ 2 เดือนแรกไปขึ้นบ้าน 3 ครั้ง ก็วิ่งไล่ไปครั้งนึง 2 ครั้งเราไม่อยู่ก็กระเจิงกระจุย แต่โดยรวมแล้วฟังที่คุณพิภพพูดมานะคุณแอ้ม คือเรา 192 วัน ต้นทุนก็เยอะเหมือนกัน ชีวิตของผู้คน 10 คน สาหัส 21 แล้วก็ปานกลางถึงเล็กน้อย 599 มันมาก นี่คือมันสะท้อนถึงความพิกลพิการของนักการเมืองเอย กลไกอำนาจรัฐเอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหาร ตำรวจ ผมว่ามีปัญหามาก ใครมาเป็นรัฐบาลต้องรื้อ ต้องจัดการ หมายถึงต้องปฏิรูป ปฏิสังขรณ์ พอต้นทุนขนาดนี้ ฟังไปก็ใจหาย คุณพิภพรู้สึกหรือเปล่าครับ คือมันมากเกินไป แต่มันทำอย่างไรได้ เพราะนี่คือสัจธรรมของประเทศไทย ของชีวิตจริง ซึ่งถ้าย้อนเวลาได้ผมว่า พูดไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วนะครับ ต้องทำอนาคตมาชดเชยอดีตที่สูญเสียให้ดีที่สุด แต่คำถามก็คือนี่ละครับ เหมือนที่คุณแอ้มเกริ่นในข่าวนั่นแหละ
พอย้อนไปเมื่อปี 49 ผมนำเข้าประเด็น เข้าการเมืองนิดนึงนะครับ ทำเชื้อให้ อ.พิภพ พูด คือปี 49 เราจบลงด้วยรัฐประหาร แล้วจบลงด้วยรัฐบาลเฉพาะกาล ที่เขาเรียกกันนะครับ รัฐบาลขิงแก่ อันนั้นคือบทเรียนครั้งใหญ่ของพันธมิตรฯ เหมือนกันว่า เราไม่ได้ไปมีส่วนกำหนดเลย ปล่อยให้เขาตั้งรัฐบาลขิงแก่ขึ้นมา แล้วสุดท้ายผ่านไป 16 เดือน เป็นบทเรียน ผมต้องวิพากษ์ตรงๆ ว่า บทเรียนของผมด้วย ของพันธมิตรฯ ด้วย ของทุกคนที่ร่วมกันต่อสู้ 16 เดือนเราสูญเปล่าเลยนะครับ รัฐบาลขิงแก่
สโรชา- เหนื่อยฟรี
สำราญ- ผมไปเป็น สนช.เป็นอะไรต่างๆ โดยอะไรก็แล้วแต่ ก็ทำอะไรได้ไม่มาก ได้กฎหมาย คตส.มาอันนึง ถ้าไม่มี คตส. เหมือนที่เราปราศรัยบนเวทีทำเนียบนั่นแหละ ไม่มี คตส. 19 ก.ย.49 มัน
สโรชา- เป็นผลงานแทบจะชิ้นเดียวเลย
สำราญ- ชิ้นเดียวที่พอจะเอ่ยอ้างได้ กับอีกอันคือ ทำให้ทักษิณต้องระเหเร่ร่อนอยู่เมืองนอก นี่คือไล่ทักษิณออกไป แต่ตัวโครงสร้างระบอบทักษิณยังอยู่ ดีที่มี คตส.มาเยียวยา ชดเชยความรู้สึก แล้วก็ทำอะไรให้กับบ้านเมืองบ้าง มันก็มาสู่คำถามที่กำลังเกิดขึ้น ณ นาทีนี้ว่า โอเคบางสูตรก็ดีอยู่ บางสูตรนะ พูดกันตรงๆ คือ ถ้าพลิกขั้วมาเป็นประชาธิปัตย์ ผู้คนก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมานิดหนึ่ง ถึงแม้ไม่มากไม่มาย แต่ผมคิดว่าผู้คนก็พอรับได้ แต่ภายใต้การรับได้นี้ มันก็มีสิ่งที่เป็นยาพิษ หรือยาขม เป็นอะไรที่มันทำลายความรู้สึกอยู่เหมือนเดิม คือการเมืองเก่า คือโควต้า คือเลข 8 หลักที่ซื้อกัน ต่อ ส.ส. คือระดมพลกัน
สโรชา- เขาบอกเคาะกันทุกชั่วโมงเลยจริงหรือเปล่าคะพี่สำราญ
สำราญ- ทุกชั่วโมงก็เกินไป แต่ว่า
สโรชา- เหมือนประมูล คือโทรชิงกันตรงนั้นเลย
สำราญ- มันก็มีการเลี้ยงดูปูเสื่อกัน แล้วก็มีการล็อกกัน มานอนโรงแรมนี้นะ อยู่กันนะ รอเวลานะ
สโรชา- คือมาเก็บตัวด้วยกันเหมือนเป็นนักกีฬาเลยก่อนที่จะลงไปแข่งจริง
สำราญ- เหมือนกับ ส.จ.ในต่างจังหวัด เข้าใจไหม วันที่จะเลือกประธาน ส.จ. มันจะมีการเข้าค่าย คือเก็บส่วนหนึ่ง ห้ามออกไปใช้เสียง เก็บส่วนหนึ่งเพื่อมึงอย่าออกไหน รุ่งเช้าจะเอามึงไปโหวต มันลักษณะคล้ายๆ คือแบบนี้ผมรู้ว่านักการเมืองหลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้นหรอก แต่มันกำลังจะเกิดขึ้น แล้วนี่เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าทั้ง 5 แกนนำ พวกเราหลายคนก็จ้องมองดูอยู่ว่าใครก็ตามที่จัดตั้งรัฐบาล หรือผู้มีอำนาจทั้งหลาย นักการเมืองทั้งหลายที่มีจิตสำนึกแล้ว ก็ต้องคำนึงถึง 10 ศพบ้าง คำนึงถึงคน 21 คน ที่หาขาก ตาหลุดบ้าง คำนึงถึงคนที่บาดเจ็บ 599 คนบ้าง คำนึงถึงคนเงินล้านๆ 10 ล้าน 5 ล้าน ที่อยู่ทางบ้าน ที่เขาเรียกว่าต่อสู้ 7 เดือนบ้าง
สโรชา- เขาจะถามได้ไหม คือมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เยอะ กว้างขวางมากในสังคม เอาละ ประชาธิปัตย์เขามาเล่นเกมนี้ละ และเขาจะเป็นฝ่ายที่จะจัดตั้งรัฐบาล หลายคนวิพากษ์วิจารณ์บอกว่า อย่างนี้ก็ไปเล่นการเมืองแบบเก่า ก็คือต้องชิงกัน ต้องคุยกันเรื่องเก้าอี้ เขาจะตอบได้ไหมว่า ถ้าไม่ให้เล่นเกมนี้แล้วจะเล่นเกมไหน จะปล่อยให้เขาจัดตั้งรัฐบาลเองหรือ
สำราญ- คือเราไม่ว่าหรอกถ้าเป็นทัศนะผม เดี๋ยวพี่เปี๊ยกเพิ่มเติมแล้วกัน เราก็คือเขาจัดตั้งได้ เขาเดินไปเถอะ เดินไปให้สุดๆ เราเข้าใจได้ว่าทำไมเขาจะต้องชิงธง ชิงอะไรกัน เพราะยังเป็นการเมืองแบบเก่าอยู่ เราก็ไม่ปฏิเสธว่าคือการเมืองใหม่มันยังไม่เกิดในชั่วข้ามคืนหรอก เราแค่ไปลงธง ปักหลักปักฐานในกิโลเมตรแรกเท่านั้นเอง ยังต้องต่อเติมอะไรอีกมากมาย เพียงแต่ว่า พอคุณจัดเสร็จแล้ว สมมติว่าจัดได้ ถ้าไม่สะดุดซะก่อน คุณก็อย่าลืมที่ผมพูดเมื่อสักครู่ด้วย อย่าลืมน้องดบว์ 2 โบว์ อย่าลืม 10 ศพ อย่าลืม 599 คน อย่าลืม 21 ศพด้วย อย่าลืมคำว่าการเมืองใหม่ด้วย ไม่อย่างนั้นสังคมก็จะมีปัญหาต่อไป นี่คือสิ่งที่ผมเป็นกังวล ภายใต้บทเรียนเมื่อปี 49 โดยสรุป
สโรชา- คือมองข้ามช็อตไปเลยว่าถ้าหากจัดตั้งได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็แล้วแต่ละ
สำราญ- ถ้าประชาธิปัตย์ พบว่าสังคมพอจะรับได้ แต่ถ้ามันยังเป็นเสนาะ เทียนทอง ยังเป็นใครต่อใคร ยังเป็น 6 พรรคเดิม เชษฐา ฐานะจาโร เป็นนายกฯ ผมว่าแบบนี้มีปัญหาเร็ว ถ้ามาเป็นสูตรที่ 2 คือ พลิกขั้ว ผมว่าชาวบ้านยังพอ เท่าที่ดูอารมณ์สังคมฟังดู เขาอยากจะดูเหมือนกันว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเรายังไม่สรุปว่าเขาจะจัดตั้งได้จริงหรือเปล่า เห็นว่าตั้งธงไว้วันศุกร์นี้ ว่าจะโหวตนายกฯ กันแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่
สโรชา- คุณพิภพ คะ เบื่อไหมคะ
พิภพ- เบื่อไม่ได้ คือถ้าเราเข้าใจประวัติศาสตร์สังคม และหลักวิวัฒนาการ และพัฒนาการของสังคม ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงรอยต่อระหว่างการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่ และผมทุบโต๊ะได้เลยว่าการเมืองใหม่เกิดขึ้นแน่นอนในอนาคต แต่ในช่วงรอยต่อมันเป็นรอยต่อยอ่างที่คุณสำราญว่า รอยต่อของการเมืองเก่า นั้นประชาธิปัตย์เนี่ย เราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่ เขากำลังเดินการเมืองแบบเก่า ซึ่งมันเป็นหมากบังคับที่ต้องเดินการเมืองแบบเก่า แต่ถ้าหมากบังคับนี้ทำให้การเมืองแบบเก่าเดินไปไม่ได้ มันยังมีปัญหาทางกฎหมายเยอะ รัฐบาลกลาง หรือรัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลอะไรมันอาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลกลาง รัฐบาลแห่งชาติเกิดขึ้นแล้วจะทำการเมืองใหม่ได้เต็มที่ เราจะมีความหวังว่าให้หลุดจากการเมืองเก่า และจะเกิดการเมืองใหม่ จากนักการเมืองหรือไม่ใช่นักการเมืองที่จะมาเป็นรัฐบาลในอนาคต มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่คุณสำราญพูดไว้ แต่เพียงแต่ผมจะย้ำมากกว่าคุณสำราญนิดนึงว่า อารณ์ความรู้สึกของสังคมต้องการการเมืองใหม่ อันนี้แน่นอน แต่ระหว่างช่วงของรอยต่อมันจะขยับอย่างไร พูดถึงปัญหาประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์กำลังเดินการเมืองแบบเก่าเข้าใจได้ แต่ปัญหาคือว่าเมื่อเดินการเมืองแบบเก่าได้เรียบร้อย จัดตั้งรัฐบาลได้เรียบร้อยแล้ว คุณอภิสิทธิ์ สมมติว่าคุณอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ สมมติก่อน จะทำการเมืองใหม่ไหม คือปัญหา ถ้าทำการเมืองใหม่แล้วพรรคต่างๆที่เคยเป็นพรรคร่วมกับการเมืองเก่า คือพรรคของคุณทักษิณ เพราะว่าการทำการเมืองใหม่ ผมคิอว่าประชาชนจะต้องกดดันเรียกร้อง และคุณอภิสิทธิ์ จะต้องก้าวข้ามพ้นการเมืองเก่า อักนั้นประชาธิปัตย์มีเวลา 3 ปี ถ้ารูปแบบตามนี้มันย้อนกลับไปในอดีตเมื่อปี 2540 ประชาธิปัตย์มีเวลา 3 ปี หลังจาก พล.อ.ชวลิต ได้ลงไป แล้วตอนนั้นมีปัญหาเศรษฐกิจ ตอนนี้ประชาธิปัตย์ก็เผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจอีกรอบ และปัญหากับรอยต่อทางความคิดที่บ่มเพาะมา 192 วัน ไม่หายไปไหนนะครับ ใครอย่าประมาท 192 วัน ถึงแม้จะมีการลอบสังหารแกนนำให้ตายไป 5 คน ก็ไม่มีประโยชน์ พูดอย่างนี้ไม่ได้กลัวตายนะ เพราะว่า 192 วัน ความกลัวตายมันหมดไปแล้ว วันหนึ่งเราจะโดนระเบิด โดนยิงเมื่อไหร่ เราไม่รู้ตัวเลย ดูซิ น้องล่าสุด อญุ่ดีๆกำฃังขนของก็ตกรถไปนิดเดียว อุบัติเหตุก็ตายได้ เพราะฉะนั้นเราผ่านเรื่องนี้มามากแล้ว เพียงแต่ว่าไปขวางสังคมไม่ได้หรอกครับ เขาใช้ความรุนแรง ผมเรียนว่าอย่าไปใช้เลยครับ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่ควรจะได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าเสื้อแดง หรือเสื้อเหลือง ไม่ควรได้รับการบาดเจ็บ หรือตายจากต่อไปนี้ ไม่อยากให้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต้องทำให้ความขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่าย จะตอ้งเสียเลือดเนื้อ เอาละ การเมืองใหม่เกิดขึ้นแน่ ประชาธิปัตย์ต้องพูดเรื่องนี้ชัดเจนว่า จะมีนโยบายต่อการเมืองใหม่อย่างไร 2.ผมคิดว่าภาระของพี่น้องพันธมิตรฯ ก็คือจะต้องร่วมแรงร่วมใจสร้างการเมืองใหม่ จะในรูปแบบไหนช่วยกันคิด ต้องเกิดให้ได้ โลกมันจะติดขัดไปหมด เราต้องการการเมืองใหม่ ต้องการการเมืองที่สะอาด ต้องการธุรกิจที่สะอาด ต้องการสังคมที่สะอาด ต้องการนักการเมืองที่สะอาด แต่ปัญหาตอนนี้คือนักการเมืองเก่าที่อยู่ในพรรคต่างๆ กำลังจะทำการเมืองเก่า คุณจะกลายเป็นคนผู้รับเคราะห์นะครับ รับเคราะห์ตรงที่ว่า ทุกคนจะประณามคุณว่าคุณไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ทุกภาคส่วนของสังคมต้องการความเปลี่ยนแปลง คิดดูซิครับ ภาคธุรกิจไม่เคยที่จะออกมาพูดชัดเจนขนาดนี้
สโรชา- เป็นกลุ่มที่ออกมาช้าที่สุด แต่ว่าหนักแน่นที่สุด ว่าต้องกาความเปลี่ยนแปลง
พิภพ- เขาควรจะออกมาช้าที่สุด เพราะว่าเขามีผลประโยชน์มากเกินไป และเคยหากินกับผลประโยชน์จากพรรคการเมืองเก่ามา อันนี้พูดอย่างไม่เกรงใจด้วยความเคารพ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ถ้าการเมืองเก่ายังดำรงต่อไป ความวุ่นวายในสังคมไม่ยุติ เพราะอย่างน้อยประชาชน ผมไม่ได้พูดถึงพันธมิตรฯนะ ประชาชนไม่ยอม ไม่ยอมที่จะให้กงล้อทางประวัติศาสตร์ หมุนทวนกลับไปอีก กงล้อทางประวัติศาสตร์ต้องหมุนไปข้างหน้า นักธุรกิจรู้ดี จึงได้ออกมาอย่างเเข็งกร้าว ว่าไม่ต้องการการเมืองเก่า ออกมาช้าโดยธรรมชาติ ทหารก็ต้องออกมาช้าที่สุด แต่ว่าก็ต้องออกมาชัดเจนว่าจะต้องการการเมืองไหน แต่ไม่ใช่ในรูปแบบการรัฐประหาร แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงตามกลไกรัฐธรรมนูญ
ผมอยากจะเรียนอย่างนี้ว่า เหตุการณ์ก่อน 19 กันยายน การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงออกมาไม่ให้เราเสนอมาตรา 7 แต่บอกว่าให้ใช้ตุลาการในการแก้ไขปัญหา อันนี้ผมว่าเป็นอัจฉริยภาพ เป็นพระมหากษัตริย์ที่นำสถาบันกษัตริย์ไปอยู่ใน เขาเรียกว่า กระบวนการประชาธิปไตย นั่นก็คือ 1 ใน 3 อำนาจที่ถูกลดทอนไป ขณะที่ 2 อำนาจมีปัญหากัน คือ อำนาจนิติบัญญัติ กับอำนาจบริหาร สร้างอำนาจตุลาการขึ้นมา จะเรียกว่าตุลาการ หรือจะเป็นอมาตยาธิปไตยหรือไม่ผมว่าไม่ใช่เป็นประเด็นหลัก แต่ว่าเป็นอำนาจที่ 3 ใน 3 อำนาจ ที่ควรจะมีบทบาทในการแก้ไขปัญหา อันนี้ผมว่าเป็นอัจฉริยภาพ แต่อำนาจของตุลาการจะไปไม่ได้เลยถ้าประชาชนไม่ภิวัฒน์ไม่ร่วมภิวัฒน์ด้วย เพราะฉะนั้นที่คุณธิพูดถึงคำว่า ประชาภิวัฒน์ ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมือง เรียกว่า การเมืองภาคประชาชน ซึ่งเป็นคำเดิม ผมคิดว่ามันมาคู่กันแล้ว หลัง 192 วันชัดเจน ก็คือตุลาการภิวัฒน์ทำงานได้ถึงแม้จะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ประชาภิวัฒน์ การเมืองภาคประชาชนร่วมทำงาน ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับนักการเมืองแล้ว ว่านักการเมืองจะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือไม่
ผมเรียนโดยตรงนะครับไม่ใช่ไปท้วงติงท่านนักการเมืองผู้อาวุโสนะครับ ท่านอย่าฝืนประวัติศาสตร์เลย เพราะประวัติศาสตร์ตอนนี้มันเคลื่อนไปแล้ว ตุลาการภิวัฒน์กับประชาภิวัฒน์เคลื่อนไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าสภานิติบัญญัติ กับฝ่ายบริหารไม่ภิวัฒน์ บ้านเมืองวุ่นวาย ถ้าท่านรักบ้านเมืองท่านจะต้องร่วมกันภิวัฒน์ แล้วคุณทักษิณไม่ต้องพูดถึงเขา เพราะเขาอยู่เมืองนอก เขามีเงินมหาศาล เขาไม่สนใจปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ผมไม่ว่าคุณสมชายเลย เพราะคุณสมชายเป็นเพียงหุ่นยนต์ให้คุณทักษิณ ถ้าตำหนิก็คือ คุณสมชายเสียความเป็นมนุษย์ เสียความเป็นคนที่ความดีงามสมัยเป็นผู้พิพากษาไปได้อย่างไร แต่กระนั้นก็ตาม ทุกอย่างมันถูกกำหนดโดยคุณทักษิณ ตอนนี้สังคมรู้แล้วว่า ถูกกำหนดโดยคุณทักษิณ แล้วคุณทักษิณอยู่เมืองนอก ได้กำหนดในเรื่องที่ตัวเองไม่สนใจว่าจะมีผลกระทบอย่างไรทั้งสิ้น อันนี้สังคมไทยจะต้องร่วมกันถอดคุณทักษิณออกแล้วเคลื่อนตัวออก ที่ อ.ประเวศ บอก สถานีทักษิณ รถไฟเราต้องเคลื่อนตัวออก แล้วอย่าให้คุณทักษิณมากำหนดการเมืองไทยและความเสียหายในประเทศไทยได้อีกต่อไป แล้วผมคิดว่า ตอนนี้ใกล้ ใกล้ที่คุณทักษิณจะหมดบทบาทในการกำหนดสถานการณ์ทางการเมืองไทยไปแล้ว เพราะว่า คนไทยรู้เท่าทัน โดยเฉพาะชนชั้นกลาง และชนทุกอาชีพ เพียงแต่ปัญหานักการเมืองเก่า ผมให้โอกาสนิดนึงครับ ขอปรับตัวซะเถอะ ถ้าไม่ปรับตัวผมคิดว่า
สโรชา- โอกาสสุดท้ายแล้วนะ
พิภพ- มันเป็นโอกาสสุดท้าย
สำราญ- ช่างสอดคล้องกับหมอดูนะ
สโรชา- ทำไมคะ
สำราญ- หมอดู คุณหมอบุญเลิศ ไพรินทร์ อ.บุญเลิศ บอกว่า ตั้งแต่ มี.ค.ปีหน้า ดาวมฤตยูมาแล้วทักษิณจะซวยไป 7 ปี แล้วบอกว่าถึงขั้นชีวิตด้วย ฟังดู
สโรชา- เคยฟังเหมือนกัน เห็นบอกว่าใกล้ๆ แล้ว ปลายปีนี้ต้นปีหน้า ถึงเวลาที่เขาจะดวงตก อะไรประมาณนั้น แต่ก็อยากจะมองในแง่ดีว่า นี่คือเรากำลังเคลื่อนไปสู่การเมืองใหม่ แต่ว่านักการเมือง คือภาพในสังคม ไม่ว่าคุณทักษิณจะเป็นคนชักใย แอ้มว่าสังคมเห็น คนส่วนใหญ่เห็นแล้ว อันนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ว่านักการเมืองบางส่วนยังเลือกที่จะไม่มอง ที่จะมองไม่เห็น ครั้งนี้ถ้าหากว่าคุณอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ ได้จริง ครั้งนี้จะเป็นการสั่งสอนเขาได้สำเร็จไหมคะ บรรดานักการเมืองทั้งหลายแหล่
สำราญ- ผมว่าได้ระดับหนึ่งนะ คือคุณอภิสิทธิ์ดีแน่โดยความคิดความอ่าน แต่ว่านั่นแหละ คือมันอยู่ที่โครงสร้างรัฐบาลจะเป็นตัวถ่วงรั้งเขา ซึ่งเขาต้องกล้าหลุดจากตัวนี้ ตอนนี้โอเคมันจำเป็น สมมุติมองอย่างเข้าใจ เอาใจช่วยนะ พยายามเข้าใจอย่างที่สุดแล้ว เอาใจ คือปกติอาจจะไม่ประนีประนอมขนาดนี้ แต่ว่าเอาใจช่วยเอา เพราะบ้านเมืองต้องมีรัฐบาล สมมุติจัดตั้งได้ เขาต้องมีความกล้าหาญมาก ต้องเป็นโอบามาร์กจริงๆ ไม่ใช่เป็นมาร์กเฉยๆ ต้องโอบามาร์ก ต้องอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง
สโรชา- เชนจ์ บิ๊กเชนจ์
สำราญ- ถึงแม้เรารู้อยู่ การเมืองเขาจะมาจากการเมืองแบบเก่าก็ตาม แต่ผมว่า ถ้ามีความกล้าหาญก็จะทำอะไรได้บ้าง อย่างน้อยคนก็มีความหวังขึ้นบ้าง แต่ว่าถึงขั้นจะให้เชนจ์กันสุดๆ ผมดูแล้วยังลำบาก ภายใต้โครงสร้างการเมืองแบบนี้
สโรชา- ด้วยระบบ ด้วยคน
สำราญ- ด้วยระบบ ด้วยคน ด้วยทุน คือบ้านเราทุนเป็นเรื่องใหญ่มาก ทุนมันคุมพรรค ทุนมันครอบงำหมดเลย แม้กระทั่ง พูดกันตรงๆ นะ แม้กระทั่งการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ แต่นี่เป็นเรื่องที่เราทำใจ กินยาทัมใจนิดหน่อย พอทำใจกันได้ ไม่ถึงขั้นปิดตายซะข้างหนึ่ง ไม่ถึงขนาดนั้น ถ้าแบบนั้นมันก็ทำร้ายทำลายตัวเองมากเกินไป ทำลายจิตใจตัวเองมากเกินไป
สโรชา- มีความหวังมากน้อยขนาดไหนถ้าหากว่าประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว ครม.ชุดต่อไปที่เราเห็นเราจะไม่มองแล้วแบบ อุ๊ย ยี้ ยี้มากๆ หรือยี้มากที่สุด
สำราญ- พูดตรงๆ คงจะดีกว่าในระบอบทักษิณหน่อย อย่างน้อยประชาธิปัตย์คงจะมีสติ มีปัญญาอยู่บ้าง ได้มองเห็น 192 วันของเราบ้างว่ามันเป็นอย่างไร เหมือนที่พี่พิภพว่า คือ ถ้าคุณยังสวนกระแสชาวบ้านคุณก็อยู่ไม่ได้ ประชาธิปัตย์มีสิทธิ์ล้มได้ถ้าคุณดูถูกประชาชน หรือไม่เคารพ ไม่คารวะประชาชนบ้าง
พิภพ- ผมพูดอย่างนี้เลยนะครับ ประชาธิปัตย์ฐานเสียงอยู่ภาคใต้ แต่ถ้าประชาธิปัตย์คิดว่าฐานเสียงเดิมคือกลุ่มคนที่มีความคิดแบบเดิม ก่อนเกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประชาธิปัตย์คิดผิด เพราะคนใต้ที่มาอยู่กับเรา 192 วัน ความคิดเปลี่ยนไปแล้ว หลายๆ ส่วนเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคมีปัญหาด้วย คือเป็นอุปสรรคเอาด้วย แต่ว่าเขาไม่มีทางเลือก เขาก็ยังหวัง เพราะฉะนั้นถ้าประชาธิปัตย์จะต้องเปลี่ยน ไม่ใช่เพราะสติเท่านั้น แต่ต้องดูข้อมูลฐานเสียงของตัว ว่าฐานเสียงของตัวเปลี่ยนไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าตัวเองไม่เปลี่ยน พรรคประชาธิปัตย์จะกลายเป็นพรรคในการเมืองเก่าที่เป็นพรรคที่มีปัญหาพรรคหนึ่ง จากนี้ประชาธิปัตย์ต้องเปลี่ยน ผมคิดว่าคุณอภิสิทธิ์ฉลาดพอ แต่ปัญหาว่าคนรอบตัวคุณอภิสิทธิ์ที่ยังอยู่ในภาคการเมืองเก่า ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยในพรรคประชาธิปัตย์ พูดกันอย่างยุติธรรม ก็ต้องรู้ตัวนี้อยู่ด้วย สอง ฐานเสียงใหม่ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าภาคกลาง ภาคตะวันอกเฉียงเหนือ และภาคอีสานบางส่วนที่มาร่วมกับพันธมิตรฯ ภาคเหนือบางส่วนที่มาร่วมกับพันธมิตรฯ มันจะขยายตัวไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นประชาธิปัตย์ต้องรู้ว่า ถ้าตัวเองเชนจ์ไม่พอ การเมืองใหม่ไม่พอ ถ้าเกิดมีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้น ซึ่งจับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่ตื่นตัวขึ้นในช่วง 192 วัน ที่จริงมันมากกว่า 192 วัน ถ้ารวมตั้งแต่คุณสนธิจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่บ่มเพาะกันมา มันเปลี่ยนไปเยอะนะครับ รวมทั้งสหรัฐฯ ก็เปลี่ยน สหรัฐฯ ก็เปลี่ยนเอาประธานาธิบดีหนุ่มขึ้นมา แล้วชูคำขวัญว่า เชนจ์ ผมว่ากระแสของอเมริกันก็เป็นกระแสที่มาจากข้างนอก ขณะที่กระแสของประชาชนคนไทยก็เป็นกระแสที่บ่มเพาะมาจากภายใน ต้องการเปลี่ยนแปลง นักธุรกิจ และทุกระดับ ผมแต่ก่อนอาจจะบอกเฉพาะคนรากหญ้าเท่านั้นต้องการเปลี่ยนแปลง พวกเอ็นจีโอเท่านั้นต้องการเปลี่ยนแปลง พวกนักวิชาการก้าวหน้าเท่านั้นเองต้องการเปลี่ยนแปลง ผมไปคุย 2-3 วันมานี้ ไปกินเลี้ยงกับนักธุรกิจที่เป็นพันธมิตรฯ โอ้โฮ แต่ก่อนถ้าไปคุยกับพวกนี้เขาไปคุยกันเรื่องสายลมแสงแดด คราวนี้ในโต๊ะอาหาร การคุยวงใหญ่ คุยเรื่องการเมือง เรื่องการเมืองใหม่ ยอมไม่ได้แล้วที่จะให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น แล้วคนพวกนี้เป็นกลุ่มทุน แล้วพร้อมที่จะอยู่ในการเมืองใหม่ที่สะอาด แล้วจะทำตัวเป็นทุนที่สะอาด เป็นนักธุรกิจที่สะอาด แล้วพร้อมแข่งขันแบบสะอาด อันนี้ผมว่าเปลี่ยนไปเยอะนะครับ ก็เลยอยากเรียนคุณอภิสิทธิ์ เรียนกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ว่า ฐานเสียงของคุณยังเป็นฐานเสียงเดิม แต่เนื้อหาสาระเขาเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าท่านจับเนื้อหาสาระที่เปลี่ยนไม่ได้ท่านจะลำบาก รวมทั้งการตั้ง ครม.ที่คุณแอ้มพูดเมื่อสักครู่ คุณสำราญเสริมเมื่อสักครู่นี้ แล้วที่สำคัญคือ นโยบาย แล้วผมเรียนด้วยความเคารพนะครับ นโยบายประชานิยม จะชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่ แต่เป็นนโยบายที่มันไปถึงคนระดับประชาชนรากหญ้า คุณทักษิณทำนโยบายนี้ไม่มีคุณภาพ เพื่อหาเสียงทางการเมือง แล้วใช้ทุจริตในหมู่คณะรัฐมนตรีได้ไปมากกว่าที่ให้กับประชาชน หน้าที่ของพรรคการเมืองใหม่ การเมืองใหม่ก็คือ ทำให้ประชาชนเหล่านี้อย่างมีคุณภาพ แล้วนักการเมืองจะต้องเสียสละ ถึงเวลานักการเมืองต้องเสียสละ ไม่หากินทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แน่นอน ประชาชนก็ต้องเสียสละพร้อมบริจาคเงินให้นักการเมืองที่เสียสละด้วย ในการเลือกตั้ง มันต้องกลับตาลาปัดกันหมดเลย
สโรชา- มันต้องตรงกันข้ามในสิ่งที่เราเห็นมาเป็นหลายสิบปี
สำราญ- มันต้องย้อน นี่คือข้อดีของพันธมิตรฯ นะคุณแอ้ม รู้สึกคุณคำนูณจะเขียนไปนิดหน่อยวันนี้ คือลักษณะพิเศษของพันธมิตรฯ ที่น่ารักมาก คือการบริจาค ผมว่าเงิน ตัวเลขน่าจะร้อยกว่าล้าน ถ้าเรามองถึงการขายสินค้า มองเงินบริจาคเหล่านี้ของพี่พิภพด้วยนะ ต้อง 200 กว่าล้านงานนี้ 192 วัน แล้วไม่หมดนะครับ บางคนโอ้ย เหี่ยวแล้วๆ ฝ่ายตรงข้ามประเมินว่า มันเหี่ยวแล้ว บางคนบริจาคไม่ไหวแล้ว บริจาคกัน 20 ครั้งมีที่ไหน บางคนผมว่า 40-50 ครั้ง นี่คือลักษณะพิเศษ
พิภพ- คุณสำราญนิดนึง ผมว่าคุณคำนวณตัวเลขต่ำไปนะ 100 ล้าน คือคิดว่าที่จ่าย ทุกคนที่จ่ายตลอดเวลา
สำราญ- ไม่ๆ ที่บริจาค ASTV
พิภพ- อ๋อ อย่างนั้นเข้าใจ
สำราญ- ที่นี้มันมีกองทุนสู่คดีของพี่พิภพ 38 ล้านแล้ว มันมีเสื้อแบบคุณแอ้มใส่ อีก 40-50 รุ่น สินค้าต่างๆ
สโรชา- แสดงว่าพลังตรงนั้นมี พลังทุนที่จะสร้างการเมืองใหม่ ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มทุนทางธุรกิจที่เป็นรายใหญ่ๆ ด้วย เราพูดแค่ประชาชนทั่วๆ ไปที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง เขาพร้อมที่จะเป็นทุนให้กับนักการเมืองที่สะอาด ที่มือสะอาด
พิภพ- นอกจากบริจาคแล้ว ค่าใช้จ่ายส่วนตัวในการที่มาผมว่าคงไม่ต่ำกว่าแสนนะ แม้แต่ผมเองยังควักเนื้อไป ต้องจ่ายคนที่มาช่วยดูแล มาทำงาน
สำราญ- ผมค่าโรงแรมก็หลายหมื่นแล้ว เบิกกองทุนได้ไหม
พิภพ- เพราะฉะนั้นผมว่าเป็นพันล้าน ไม่รวมการบริจาค คือประชาชนพร้อมที่จะจ่าย
สโรชา- คือที่หมุนเวียนทั้งหมด
พิภพ- จะจ่ายเพื่อการเมืองใหม่ ทุกคน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า เวลาเราบอกว่า เป่านกหวีดมาชุมนุม วันเดียวเขาไม่ค่อยมีความสุข เพราะเขาต้องลงทุนเดินทางมาเป็นพันๆ บาท หลายพันบาท เพราะฉะนั้นควรจะอยู่สัก 2-3 วัน
สโรชา- ขออยู่นานหน่อย
พิภพ- เพราะฉะนั้นพูดกันตรงๆ คือประชาชนพร้อมจะจ่ายเพื่อการเมืองใหม่ เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะฉะนั้นเมื่อพร้อมจะจ่าย พร้อมเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถ้ามีพรรคการเมืองที่ประชาชนรู้สึกว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผมคิดว่าผมพร้อมจะจ่าย อันนี้ผมพิสูจน์มาแล้วจากอีสติมอร์ มันไม่ใช่เรื่องการศึกษาเลย อีสติมอร์ เป็นอาสาสมัครขององค์การสหประชาชาติ ในนามองค์กรพัฒนาเอกชน ไปดูการเลือกตั้ง คนมาลงคะแนนเสียง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ทั้งที่อินโดนีเซียพยายามขัดขวางมาก ขัดขวางแรงกว่าเรามาก ทั้งระเบิด ทั้งยิง ผมไปกับชาวญี่ปุ่น เดินไปในหมู่บ้าน เพื่อไปที่ศูนย์กลางดูการเลือกตั้ง ไปขอพักที่องค์การศาสนา องค์การหนึ่งยังไม่พักเลย ต้องไปขอพักตามหมู่บ้าน เพราะเขารู้สึกอันตราย ปรากฏว่าคนเดินทางมา 90 เปอร์เซ็นต์ มาก่อน 1 วัน ไม่ใช่เรื่องการศึกษา หรือมีไม่มี แต่เขารู้สึกว่าถ้าเขามาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแล้วมันเกิดการเปลี่ยนแปลง เขามา คือการลงมาจากภูเขา ผมน้ำตาไหลเลย เข้าคิวตั้งแต่ตี 5
สโรชา- เพื่อมาใช้สิทธิ์
พิภพ- ถ้าประชาชนรู้สึกว่าเมื่อเขามาลงคะแนนเสียง หรือเขามาเคลื่อนไหวทางการเมือง แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น เขาพร้อมจะเสียสละ
สโรชา- ว่าเสียงของเรานี้มีอิทธิพลนะ
พิภพ- ถ้ามาแล้วไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เขาก็นอนหลับทับสิทธิ์ ผมอยากจะเรียนพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองอื่นๆ ถ้าคุณไม่ปรับตัว ถ้ามีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้น แล้วสามารถบอกกับประชาชนว่าถ้าเลือกพรรคเขาจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพราะประวัติศาสตร์ไม่ย้อนหลับแล้ว ผมคิดว่าขอให้ปรับตัว
สโรชา- ถึงเวลาแล้ว
สำราญ- ในช่วงต่อไป คุณแอนจะคุยกับรัฐบาลเฉพาะกาล
สโรชา- คุณไชยวัฒน์ กับคุณไทกร
สำราญ- จะมาที่นี่ใช่ไหมครับ คือถ้ามองในเชิงข่าว ผมว่าประชาธิปัตย์ไปได้กว่า 60 เปอร์เซ็นต์แล้วละ แต่มันก็ยังไม่มีอะไรแน่นอนเลย
สโรชา- คุณเฉลิม เป็ดเหลิม บอกว่า หัวเราะทีหลังดังกว่า
สำราญ- แล้วก็ขบวนการตุลาภิวัฒน์ ที่พี่พิภพพูดถึงยังต้องทำงานจนหยุดสุดท้ายในเรื่องการตีความอะไรต่างๆ เพราะมีปัญหาข้อกฎหมายมาก ซึ่งเราไม่พูดตรงนี้ เพราะหลายรายการพูดแล้วพูดอีก ประมาณ 4-5 ประเด็น ปัญหาข้อกฎหมายเหล่านี้อาจจะต้องเคลียร์กันก่อนไหม ทำให้จบสิ้นกระแสความก่อนไหม ไม่อย่างนั้นถ้าเดินหน้าต่อไปแล้วมีปัญหามันก็ยุ่งอีก ดังนั้นถึงแม้จะไป 65 เปอร์เซ็นต์แล้ว หลายคนภาวนา เราเองก็ปราถนาดีต่อประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้าทุกอย่างมันเคลียร์ก่อนก็น่าจะดีกว่า ปัญหาข้อกฎหมาย อะไรต่างๆ อันนี้ก็ตุลาการภิวัฒน์ต้องทำงานจนนาทีสุดท้ายจริงๆ
สโรชา - ทำงานไม่จบ หน้าที่ยังไม่จบ
สำราญ- ต้องชื่นชม
พิภพ- ประชาภิวัฒน์ต้องช่วยตุลาการภิวัฒน์
สำราญ -แล้วประชาภิวัฒน์ตอนนี้อยู่ตรงไหน
พิภพ- ผมคิดว่าอยู่ในใจของคนจำนวนมาก คุณคำนูณคำนวณไว้ 10 ล้าน ผมคำนวณว่ามากกว่านั้น มันอยู่ในใจคนแล้วดึงไม่ออกแล้ว เพียงแต่ว่าเขาจะแสดงออกที่สาธารณะอย่างไรเท่านั้นเอง
สโรชา- มีเรื่องหนึ่งอยากเรียนถามทั้ง 2 ท่านในฐานะเป็นแกนนำทั้งคู่ วันนี้มีข่าวว่า รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ คุณลอยเลื่อน บุนนาค จะรวบรวมข้อมูลเตรียมทำจดหมายเหตุ รวบรวมภาพเหตุการณืพันธมิตรฯ บุกยึดทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 51 เก็บไว้เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ แล้วแจกให้ผู้ที่สนใจ โดยจะหารือรายละเอียดและรูปแบบอีกครั้งหนึ่ง แต่มีแนวคิดว่าจะทำจดหมายเหตุเพื่อบันทึกเหตุการณ์การบุกยึดทำเนียบรัฐบาลของพันธมิตรฯ เพื่อจะเก็บไว้ให้ลูก หลาน เหลน โหลนเราได้รับทราบข้อมูลเหตุการณ์ครั้งนี้
สำราญ- ทำเพื่อประจารณ์หรือทำเพื่อเป็นที่ระลึกในเชิงบวก
พิภพ- ผมเรียนอย่างนี้นะครับ ใครจะทำก็ได้ แต่ต้องทำความจริงทุกด้าน ถ้าไม่ทำความจริงทุกด้าน กระบวนการการเรียนรู้ของสังคมจะไม่รอบด้าน ผมอยากจะเรียน ปัญหาของสังคมไทยคือ เราให้คนเรียนรู้ความจริงด้านหนึ่งแล้วเรียนความเท็จไปพร้อมๆ กันนี่เป็นปัญหาของระบบการศึกษาไทย และสื่อมวลชนไทย เพราะฉะนั้นผมอยากจะเรียนคุณลอยเลื่อนว่า ควรทำ แต่ทำให้ครบความจริงทุกด้าน แล้วมองให้รอบด้าน ทางที่ดีทำเนียบอย่าทำเอง ขอให้ตั้งคณะกรรมการทางวิชาการที่เป็นทางการ แล้วเข้าใจการเคลื่อนตัวของสังคม เป็นคนทำจะดีกว่า มิเช่นนั้นก็เหมือนประวัติศาสตร์ 6 ต.ค. 14 ต.ค. พฤษภา 35
สโรชา- ใครเขียนคนนั้นก็กำหนด
พิภพ- ใครเขียนคนนั้นจะเขียนด้านเดียว แล้วกำหนด แล้วซ่อน แล้วปัญหาของสังคมไทยที่เกิดขึ้น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพราะว่า คนรู้ความจริงไม่เสมอกัน ไม่เท่ากัน และถูกปิดบังความจริงโดยอำนาจรัฐ ผมอยากจะเรียนว่าถ้าจะให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย จะต้องใช้กรรมการที่เป็นกลางในการดูเรื่องนี้จะดีกว่า
สโรชา- วันนี้ยกตัวอย่างสั้นๆ เลยนะคะว่า มีการนำเจ้าหน้าที่ไปดำคลองผดุงกรุงเกษม เพื่อที่จะหาอาวุธ อันนี้เป็นข่าวไปทั่วทุกสื่อ ฟรีทีวีเผยแพร่ภาพหมด เพราะว่าเป็นภาพที่น่าสนใจ ดำน้ำกันหาอาวุธกันกระจองงองแง แต่สิ่งที่แอ้มไม่เห็นเลยคือผลของการหา หลายๆสื่อเขียนกันสั้นๆ หรือเล่าสั้นๆว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจพาชุดประดาน้ำเข้าไป ดำน้ำในคลองผดุงฯ และบริเวณรอบทำเนียบฯ เพื่อหาอาวุธที่พันธมิตรฯ แอบซ่อนเข้าไว้ แต่เพิ่งมีสื่อไม่กี่สื่อที่รายงานต่อว่า แต่ไม่พบอะไร พบแค่ท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้นเอง คือไม่มีบทสรุป ใครที่ฟังข่าวแรกไปก็จะคิดในใจว่า ถึงขั้นเอาอาวุธไปแอบไว้ในน้ำในคลอง แต่ว่าบทสรุปที่ไม่เจออะไร แทบจะไม่มีสื่อไหนรายงาน
สำราญ- พอสื่อแบบนี้ปั๊บ สังคมส่วนใหญ่ ดูไม่จบใช่ไหมคุณแอ้ม เขาจะเข้าใจว่าพวกพันะมิตรฯ ร้ายกาจมาก เอาอาวุธมาทิ้งในคลอง เลวจริงๆ ฟังแล้วอยากร้องไห้นะ คือสื่อก็เช่นเดียวกัน ทำไมไม่มาสอบถามว่าเอ็ม 79 ใครยิง ยิงมาจากจุดไหน น้องโบว์ที่ 2 กมลวรรณ เป็นใคร อะไรอย่างนี้ มันเลยไม่รู้จะร้องเพลงอย่างไรสังคมนี้ คงต้องใช้เวลาอีกนานยาวพอสมควร
พิภพ- คือที่คุณลอยเลื่อน ใช่ไหมครับ ที่จะทำเรื่องความเสียหายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความเสียหายซึ่งเราไม่รู้ว่าใครทำ เพราะว่าแกนนำพันธมิตรฯ ไม่ว่ารุ่น 1 รุ่น 2 ประกาศชัดเจนว่า เราจะดูแลให้ดีที่สุด แต่แน่นอนในคนหมู่มาก เราก็ไม่รู้เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะสืบต่อไป แต่ผมคิดว่าคุณลอยเลื่อนจะต้องให้ความสำคัญกับการเสียชีวิตด้วย เหมือนอย่างที่คุณสำราญบอก ว่าเอ็ม 79 มาจากไหน ยิงมาจากข้างนอกแน่นอน อาวุธผ่านหลังคา อันนี้ต้องพูดถึง แล้วการเสียชีวิตของพันธมิตรฯ ที่เป็นระยะมา บอกได้ไหมว่าฝ่ายรัฐบาลรู้เห็น คำของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการหลิ่วตาของรัฐบาล เหล่ตา หรือเหล่ตา คือทำเป็นว่าไม่ได้ทำ แต่รู้นะว่าใครทำ แต่ไม่ป้องกันอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่ควรจะถามคือว่า ระหว่างพันธมิตรฯ กับรัฐบาลใครทำความเสียหายให้กับสังคม รัฐบาลเป็นผู้บริหาร จะต้องแก้ไขปัญหา ในเมื่อเสียงประชาชนเป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน เอาข้อมูลคุณคำนูณละกัน รัฐบาลต้องตระหนักแล้วว่า ถ้าบริหารประเทศต่อไป จะเกิดความเสียหาย แต่รัฐบาลไม่หยุดการบริหาร การยึดสนามบินพันธมิตรฯ บอกว่านายกรัฐมนตรีลาออกเท่านั้น ถ้าเป็นประเทศอื่น นายกรัฐมนตรีเขาลาออกทันที เพราะเขาถือว่าเขาดูแลไม่ได้ และจะก่อให้เกิดความเสียหาย
สโรชา- หลักชั่วโมงเลยนะคะ ไม่ต้องข้ามวันด้วยซ้ำ
พิภพ- ชั่วโมงเดียวเลย ต้องออกทันทีเพื่อหยุดยั้ง และเพื่อจะให้พันธมิตรฯ เลิกในการที่จะยึดสนามบิน ทั่วโลกเขาทำอย่างนี้ทั้งนั้น ทันทีที่มีระเบิดเอ็ม 79 รัฐบาลต้องลาออกทันที ย้อนหลัง 7 ตุลาฯ รัฐบาลต้องลาออกทันที
สำราญ- 7 ตุลาฯ ผมว่าชัดเจนที่สุด
พิภพ- ต้องดูว่าใครละที่ทำให้ความเสียหายมันกระเพื่อมและต่อเนื่อง คือรัฐบาลที่ไม่มีความรับผิดชอบในการบริหารประเทศ ผมว่าไปเชื่อคนที่สังคมเชื่อแล้วว่าบงการอยู่นอกประเทศ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย อันนี้ซิสังคมจะต้องดูตัวนี้ หน้าที่ของประชาชนอย่างพวกเรา ในฐานะใช้สิทธิ์ตามเสรีภาพ เรามีหน้าที่ต้องมาชุมนุมโดยสงบ และสันติ อันนี้ก็ประกาศชัดเจน ใครไม่สงบไม่สันติ ไม่ถือว่าเป็นพันธมิตรฯ เมื่อรัฐบาลไม่สามารถดูแลความสงบและสันติได้ ซึ่งเกิดมาจากฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายรัฐบาลรู้เห็นเป็นใจแล้วไม่ตรวจ รัฐบาลต้องรับผิดชอบ อันนี้ผมว่าสังคมต้องมองกลับ นักวิชาการต้องมองกลับ ใครที่จะต้องรับผิดชอบกับการตายใน 10 คน
สโรชา- เวลาช่วงนี้คงหมดลงเพียงเท่านี้พ่อแม่พี่น้อง เพียงแต่ว่าในวันข้างหน้าจะมีแกนนำแวะเวียนมาทักทายกับพ่อแม่พี่น้อง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ได้พูดคุยกันผ่าน ASTV เดี๋ยวขอบพระคุณทั้ง 2 ท่านนะคะที่มาร่วมรายการ เดี๋ยวคงจะได้เจอกับพี่สำราญทุกวันอยู่แล้ว และสำหรับพี่พิภพคงจะได้มาพบกันอีกบ่อยๆ จะได้ร่วมพูดคุยกัน
สำหรับอตนนี้เดี๋ยวเราไปพักกันแป้บเดียว กลับมาจะเจอกับหนุ่มหล่อ 3 คน ในวง ก.ไก่ พ่อแม่พี่น้องคิดถึงกัน เดี๋ยวจะได้มาถามไถ่กันว่าในช่วงที่ผ่านมา ห่างหายจากเวทีพันธมิตรฯ ไปคิดถึงพันธมิตรฯบ้างหรือเปล่า แล้วก็มาฟังเสียงดนตรีกัน
สำราญ- แล้วหนุ่ม 2 คนนี้ไม่หล่อเหรอ
สโรชา- หล่อซิคะ
พิภพ- ก็เห็นบอกว่าหนุ่มหล่อ
สโรชา- หนุ่มน้อย
สำราญ- หนุ่ม ฮ.นกฮูก
สโรชา- พักสักครู่คะ เดี๋ยวกลับมา