นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เพื่อเป็นการชะลอตัวของวิกฤตเศรษฐกิจโลกซึ่งเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์จึงได้กำหนดมาตรการรับมือที่จะดำเนินการในปี 2552 โดยจะใช้เงินจากงบกลาง จำนวน 1,720 ล้านบาท จัดทำโครงการเพิ่มเติม นอกเหนือจากโครงการที่จะดำเนินการภายใต้งบประมาณปกติ เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการที่นำมาใช้ดำเนินการ มี 3 มาตรการสำคัญ คือ การเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศอีก 6,600 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.1 ของมูลค่าการส่งออกของประเทศ 6.6 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ จะมีงบประมาณในส่วนนี้ 370 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การพัฒนาย่านการค้าในประเทศเพื่อการส่งออก เช่น โบ๊เบ๊ ใบหยก ประตูน้ำ เป็นแหล่งส่งออกเสื้อผ้า วรจักรเป็นแหล่งส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ และมเหสักเป็นแหล่งส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ
นอกจากนี้ จะเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอีก 12,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 ของมูลค่าภาคการเกษตร 1.2 ล้านล้านบาท โดยจะเพิ่มงบประมาณในส่วนนี้ 600 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ พัฒนาและเพิ่มคุณภาพ และมาตรการสินค้าเกษตร การส่งเสริมตลาดกลางชุมชน เชื่อมโยงเกษตรกรไปโรงงานแปรรูปและผู้ส่งออก การสร้างช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรเพื่อสุขภาพ และการส่งเสริมการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าเพื่อสร้างโอกาส
ขณะเดียวกัน จะกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ โดยตั้งเป้าให้มีเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น 5,700 ล้านบาท โดยจะมีงบประมาณ 750 ล้านบาท ดำเนินการพัฒนาสมรรถนะธุรกิจไทยให้มีความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก ของประเทศ สร้างพลังธุรกิจเพื่อการอยู่รอดให้กับธุรกิจไทย พัฒนาย่านการค้าในภูมิภาค 30 จังหวัดทั่วประเทศ จัดกิจกรรมงานแสดงสินค้า สร้างช่องทางจำหน่ายสินค้าจากโรงงาน จับคู่ธุรกิจระหว่างจังหวัด และจัดมหกรรมทรัพย์สินทางปัญญากระตุ้นเศรษฐกิจ
นายไชยา กล่าวด้วยว่า นอกเหนือจากมาตรการข้างต้นแล้ว ยังได้เพิ่มมาตรการพิเศษในการส่งเสริมด้านการตลาดสินค้าโอท็อป (OTOP) เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และส่งเสริมธุรกิจบริการไทยไปต่างประเทศอีกด้วย โดยทูตพาณิชย์จะต้องเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือและดำเนินการให้ ซึ่งผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการใช้ 3 มาตรการนี้ จะช่วยให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของไทยทันที 24,300 ล้านบาท และเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแบบทวีคูณอย่างต่อเนื่อง 3 - 4 รอบ ทำให้มีเงินเพิ่มขึ้นในระบบไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ จะเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอีก 12,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 ของมูลค่าภาคการเกษตร 1.2 ล้านล้านบาท โดยจะเพิ่มงบประมาณในส่วนนี้ 600 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ พัฒนาและเพิ่มคุณภาพ และมาตรการสินค้าเกษตร การส่งเสริมตลาดกลางชุมชน เชื่อมโยงเกษตรกรไปโรงงานแปรรูปและผู้ส่งออก การสร้างช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรเพื่อสุขภาพ และการส่งเสริมการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าเพื่อสร้างโอกาส
ขณะเดียวกัน จะกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ โดยตั้งเป้าให้มีเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น 5,700 ล้านบาท โดยจะมีงบประมาณ 750 ล้านบาท ดำเนินการพัฒนาสมรรถนะธุรกิจไทยให้มีความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก ของประเทศ สร้างพลังธุรกิจเพื่อการอยู่รอดให้กับธุรกิจไทย พัฒนาย่านการค้าในภูมิภาค 30 จังหวัดทั่วประเทศ จัดกิจกรรมงานแสดงสินค้า สร้างช่องทางจำหน่ายสินค้าจากโรงงาน จับคู่ธุรกิจระหว่างจังหวัด และจัดมหกรรมทรัพย์สินทางปัญญากระตุ้นเศรษฐกิจ
นายไชยา กล่าวด้วยว่า นอกเหนือจากมาตรการข้างต้นแล้ว ยังได้เพิ่มมาตรการพิเศษในการส่งเสริมด้านการตลาดสินค้าโอท็อป (OTOP) เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และส่งเสริมธุรกิจบริการไทยไปต่างประเทศอีกด้วย โดยทูตพาณิชย์จะต้องเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือและดำเนินการให้ ซึ่งผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการใช้ 3 มาตรการนี้ จะช่วยให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของไทยทันที 24,300 ล้านบาท และเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแบบทวีคูณอย่างต่อเนื่อง 3 - 4 รอบ ทำให้มีเงินเพิ่มขึ้นในระบบไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
