นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง "นักธุรกิจ นักลงทุนชาวต่างชาติคิดอย่างไรต่อประเทศไทย ในฐานะหนึ่งในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีน" ปรากฏว่า ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 1 และอันดับที่ 2 ในเรื่องดีๆ หลายด้านที่เกี่ยวข้องกับบรรยากาศการลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีน
โดยประเทศไทยได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 56.2 เมื่อถามถึงความเป็นเลิศด้านระบบสาธารณูปโภค ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 43.7 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านวัตถุดิบที่เพียงพอ ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 46.1 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านแรงงานท้องถิ่นที่เพียงพอ ได้อันดับที่ 1 หรือร้อยละ 52.4 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านคุณภาพของแรงงาน ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 48.3 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านความสามารถในการจัดการธุรกิจ ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 42.7 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านโอกาสการเติบโตทางการตลาด ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 51 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 50 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านการส่งเสริมการลงทุน ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 42 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านผลตอบแทนในการลงทุน
อย่างไรก็ตาม แต่เรื่องที่น่าเศร้า เมื่อกล่าวถึงความรุนแรงทางการเมือง กลับพบว่าประเทศไทยขณะนี้ได้อันดับที่ 1 หรือร้อยละ 40.4 ประเทศพม่า ได้ร้อยละ 38.8 ในเรื่องความรุนแรงทางการเมืองภายในประเทศ และที่น่าเศร้าอย่างยิ่งคือ ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นมากในลำดับต้นๆ รองจากประเทศอินโดนีเซีย และจีน คือร้อยละ 37.8 ร้อยละ 32.5 และประเทศไทยได้ร้อยละ 31.9 ตามลำดับ
ส่วนทางออกที่ดีที่สุดของการแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยขณะนี้ นักธุรกิจนักลงทุนต่างชาติ มองว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 48.7 ระบุ ต้องเป็นประชาธิปไตยโดยเลือกตั้งใหม่ อันดับที่ 2 คือร้อยละ 24.5 ระบุปฏิรูปการเมืองใหม่ ทำให้ได้รัฐบาลที่ดีและฟังเสียงประชาชน และอันดับที่ 3 หรือร้อยละ 26.8 ระบุอื่นๆ เช่น เจรจาประนีประนอม ไม่รุนแรง และแก้คอร์รัปชั่น เป็นต้น
โดยประเทศไทยได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 56.2 เมื่อถามถึงความเป็นเลิศด้านระบบสาธารณูปโภค ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 43.7 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านวัตถุดิบที่เพียงพอ ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 46.1 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านแรงงานท้องถิ่นที่เพียงพอ ได้อันดับที่ 1 หรือร้อยละ 52.4 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านคุณภาพของแรงงาน ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 48.3 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านความสามารถในการจัดการธุรกิจ ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 42.7 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านโอกาสการเติบโตทางการตลาด ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 51 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 50 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านการส่งเสริมการลงทุน ได้อันดับที่ 2 หรือร้อยละ 42 เมื่อกล่าวถึงความเป็นเลิศด้านผลตอบแทนในการลงทุน
อย่างไรก็ตาม แต่เรื่องที่น่าเศร้า เมื่อกล่าวถึงความรุนแรงทางการเมือง กลับพบว่าประเทศไทยขณะนี้ได้อันดับที่ 1 หรือร้อยละ 40.4 ประเทศพม่า ได้ร้อยละ 38.8 ในเรื่องความรุนแรงทางการเมืองภายในประเทศ และที่น่าเศร้าอย่างยิ่งคือ ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นมากในลำดับต้นๆ รองจากประเทศอินโดนีเซีย และจีน คือร้อยละ 37.8 ร้อยละ 32.5 และประเทศไทยได้ร้อยละ 31.9 ตามลำดับ
ส่วนทางออกที่ดีที่สุดของการแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยขณะนี้ นักธุรกิจนักลงทุนต่างชาติ มองว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 48.7 ระบุ ต้องเป็นประชาธิปไตยโดยเลือกตั้งใหม่ อันดับที่ 2 คือร้อยละ 24.5 ระบุปฏิรูปการเมืองใหม่ ทำให้ได้รัฐบาลที่ดีและฟังเสียงประชาชน และอันดับที่ 3 หรือร้อยละ 26.8 ระบุอื่นๆ เช่น เจรจาประนีประนอม ไม่รุนแรง และแก้คอร์รัปชั่น เป็นต้น