น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า การจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทย-เปรู คาดว่าจะมีการประกาศบังคับใช้ในการประชุมผู้นำเอเปกที่เปรูในเดือนพฤศจิกายนนี้ หรืออย่างช้าอาจจะเป็นต้นปี 2552 หลังจากที่ข้อตกลงเอฟทีเอได้ลงนามเปิดเสรีสินค้าบางส่วนแล้ว ตั้งแต่ปี 2548 แต่ยังไม่ได้บังคับใช้ เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนการปรับเปลี่ยนตารางภาษีสินค้าใน Early Harvest และกฎถิ่นกำเนิดสินค้า เป็นระบบ HS 2007 และอยู่ระหว่างการแลกเปลี่ยตรวจสอบตารางภาษี ระหว่างกัน แต่หลังทำเอฟทีเอ คาดว่ายอดขายสินค้าระหว่างกันจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 หรือ ประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไทยเริ่มเกินดุลการค้าในปี 2548 และ 2550 จากที่ก่อนหน้านี้ไทยขาดดุลการค้า
ทั้งนี้ ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ไทยส่งออกไปเปรูมีมูลค่า 62 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2550 ร้อยละ 220 โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เม็ดพลาสติก เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ผลิตภัณฑ์ยาง ข้าว ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าจากเปรูช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่า 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 40 สินค้านำเข้าที่สำคัญได้แก่ สังกะสี ทองแดง ปลาป่น
ทั้งนี้ ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ไทยส่งออกไปเปรูมีมูลค่า 62 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2550 ร้อยละ 220 โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เม็ดพลาสติก เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ผลิตภัณฑ์ยาง ข้าว ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าจากเปรูช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่า 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 40 สินค้านำเข้าที่สำคัญได้แก่ สังกะสี ทองแดง ปลาป่น