นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เรียกประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบขนส่งทางรางและระบบขนส่งมวลชน เป็นครั้งที่ 3 โดยใช้เวลาหารือประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งในที่ประชุมครั้งนี้ได้เน้นหนักในเรื่องของการปรับโครงสร้างองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. ที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญและได้ซักถามในที่ประชุมกันมาก ว่าหลังการปรับโครงสร้างไปแล้วจะทำให้ ขสมก.มีกำไรเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดย ขสมก.ยืนยันว่าหากปรับโครงสร้างแล้วจะทำให้ ขสมก.มีผลกำไรเกิดขึ้นในปี 2562 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่หากไม่ทำอะไรเลยจะมีผลงานติดลบมากถึง 1.4 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ในแผนปรับโครงสร้างของ ขสมก.ครั้งนี้ จะยกเลิกระบบรถเมล์ร้อนที่มีจำนวน 3,000 คัน ออกไปทั้งหมด แล้วนำรถปรับอากาศที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิงจำนวน 6,000 คัน เข้ามาวิ่งแทนโดยใช้ระบบเช่าแทนการซื้อ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ส่วนหนึ่ง และทำให้คิดค่าโดยสารได้เพียงเที่ยวละ 15 บาทเท่านั้น จากปัจจุบันที่คิดค่าโดยสารตามระยะทางสูงสุดไม่เกิน 26 บาท หากที่ประชุม ครม.เห็นชอบแล้วจะดำเนินการได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2552
นอกจากนี้ ขสมก.ยังขอพักหนี้กับกระทรวงการคลัง การให้พนักงานเกษียณก่อนกำหนด หรือเออรีรีไทร์ การจัดทำตั๋วโดยสารแบบระบบอีทิคเก็ต เป็นต้น ซึ่งจากนี้ไปกระทรวงคมนาคมต้องไปสรุปรายละเอียดเพื่อนำเสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาต่อไป
ด้านนายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับการปรับเพิ่มค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าใน 2 เส้นทาง คือ สายสีม่วงและสายสีน้ำเงิน ตามที่คณะกรรมการ รฟม.เห็นชอบ แต่ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางและสำนักงบประมาณไปพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติมว่าสูตรการคำนวณต้นทุนต่างๆ ถูกต้องตามกฎระเบียบหรือไม่ และให้ทำความเห็นเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจากการคำนวณเบื้องต้น พบว่ารถไฟฟ้าสายสีม่วงนั้นมีต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15 คือ จากเดิมที่กำหนดค่าก่อสร้างในงานโยธาไว้ที่ 31,000 ล้านบาท โดยคำนวณเมื่อเดือนมีนาคม 2550 ปรับเพิ่มเป็น 36,000 ล้านบาท ส่วนสายสีน้ำเงินนั้นจะปรับขึ้นประมาณร้อยละ 5 คือจากที่คำนวณไว้ที่ 48,000 ล้านบาท เมื่อเดือนตุลาคม 2550 จะปรับเพิ่มเป็น 52,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในแผนปรับโครงสร้างของ ขสมก.ครั้งนี้ จะยกเลิกระบบรถเมล์ร้อนที่มีจำนวน 3,000 คัน ออกไปทั้งหมด แล้วนำรถปรับอากาศที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิงจำนวน 6,000 คัน เข้ามาวิ่งแทนโดยใช้ระบบเช่าแทนการซื้อ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ส่วนหนึ่ง และทำให้คิดค่าโดยสารได้เพียงเที่ยวละ 15 บาทเท่านั้น จากปัจจุบันที่คิดค่าโดยสารตามระยะทางสูงสุดไม่เกิน 26 บาท หากที่ประชุม ครม.เห็นชอบแล้วจะดำเนินการได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2552
นอกจากนี้ ขสมก.ยังขอพักหนี้กับกระทรวงการคลัง การให้พนักงานเกษียณก่อนกำหนด หรือเออรีรีไทร์ การจัดทำตั๋วโดยสารแบบระบบอีทิคเก็ต เป็นต้น ซึ่งจากนี้ไปกระทรวงคมนาคมต้องไปสรุปรายละเอียดเพื่อนำเสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาต่อไป
ด้านนายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับการปรับเพิ่มค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าใน 2 เส้นทาง คือ สายสีม่วงและสายสีน้ำเงิน ตามที่คณะกรรมการ รฟม.เห็นชอบ แต่ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางและสำนักงบประมาณไปพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติมว่าสูตรการคำนวณต้นทุนต่างๆ ถูกต้องตามกฎระเบียบหรือไม่ และให้ทำความเห็นเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจากการคำนวณเบื้องต้น พบว่ารถไฟฟ้าสายสีม่วงนั้นมีต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15 คือ จากเดิมที่กำหนดค่าก่อสร้างในงานโยธาไว้ที่ 31,000 ล้านบาท โดยคำนวณเมื่อเดือนมีนาคม 2550 ปรับเพิ่มเป็น 36,000 ล้านบาท ส่วนสายสีน้ำเงินนั้นจะปรับขึ้นประมาณร้อยละ 5 คือจากที่คำนวณไว้ที่ 48,000 ล้านบาท เมื่อเดือนตุลาคม 2550 จะปรับเพิ่มเป็น 52,000 ล้านบาท
