น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เห็นชอบให้ขยายวงเงินกู้เพิ่มเติม เพื่อให้กองทุนหมู่บ้านฯ นำไปใช้ต่อยอดในการดำเนินงานของหมู่บ้านและชุมชนเมืองต่อไป โดยกำหนดเพดานขยายวงเงินกู้เพิ่มเติมอีก 1-3 ล้านบาท ให้กับหมู่บ้านที่มีศักยภาพและจัดอยู่ในระดับ 3A
น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า คณะทำงานจะสำรวจรายละเอียดทั้งหมดให้ชัดเจนว่ามีหมู่บ้านที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในระดับ 3A จำนวนเท่าใด และมอบหมายให้กู้เงินจากธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดเตรียมวงเงินไว้ให้แล้วไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบให้จัดประชุมเชิงวิชาการกับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ เพื่อรับฟังแนวทางการดำเนินนโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองของรัฐบาลชุดนี้อย่างเป็นทางการ หลังจากดำเนินการกับโครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเมือง (เอสเอ็มแอล) ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปแล้ว คาดว่าจะเรียกประชุมภายในปลายเดือนมิถุนายนนี้ โดยมีหัวหน้าชุมชน ผู้แทนกองทุนเข้าร่วมประชุมประมาณ 1,400 คน
น.พ.สุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านฯ คนใหม่ เพราะนายสันติ อุทัยพันธ์ ผู้อำนวยการคนปัจจุบันกำลังจะหมดวาระในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ โดยการเปิดรับผู้อำนวยการคนใหม่จะดำเนินการเป็นการทั่วไปไม่มีการปิดกั้น ซึ่งนายสันติ ก็สามารถสมัครเข้ามาใหม่ได้เช่นกัน
ด้านนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เร็ว ๆ นี้จะเชิญธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และธนาคารกรุงไทย มาทำความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านฯ ในระดับ 3 A เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 3 ธนาคาร ได้ปล่อยเงินกู้กับกองทุนหมู่บ้านอยู่แล้วโดยมีเงื่อนไขแตกต่างกัน ซึ่งจากรายงานเบื้องต้นพบว่าการปล่อยเงินกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านฯ ทำให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) น้อย เช่น กรณีของธนาคารออมสิน มีเอ็นพีแอล ที่เกิดจากกองทุนฯ ในระดับ เอ ไม่รวมระดับ 3 A เพียงร้อยละ 0.9 เท่านั้น ขณะที่เอ็นพีแลของธนาคารกรุงไทย ที่ปล่อยให้กับกองทุนขนาด 3 เอ มีเพียงร้อยละ 0.6 จึงเห็นว่าภาครัฐยังจำเป็นต้องสนับสนุนให้กองทุนหมู่บ้านฯ มีแหล่งเงินเพิ่มขึ้น เพื่อนำไปต่อยอดไปพัฒนาศักยภาพของตนเองให้มากขึ้น
ทั้งนี้ สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองได้เสนอขอให้ที่ประชุมขยายวงเงินกู้ให้กับหมู่บ้านทุกระดับ เป็นจำนวน 25,472 กองทุน คิดเป็นวงเงินกู้ 22,490.48 ล้านบาท เพื่อขยายโอกาสให้แก่กองทุนฯ มีเงินพอแก่การดำเนินการตามความต้องการของสมาชิก ทั้งการนำไปสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ โดยต้องการขอกู้จากธนาคารออมสินจำนวน 5,423 กองทุน ธ.ก.ส. จำนวน 19,059 กองทุน และธนาคารกรุงไทย 990 กองทุน แต่ที่ประชุมเห็นว่าควรให้การสนับสนุนกับกองทุนที่มีศักยภาพขนาด 3A ก่อน ที่มีจำนวนประมาณ 9,339 กองทุน ซึ่งในปี 2550 ทั้ง 3 ธนาคารได้ให้เงินกู้แก่กองทุนเพื่อนำไปต่อยอดสร้างศักยภาพให้แก่ประชาชน ในพื้นที่ไปแล้ว 22,490 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2549 ได้ให้เงินกู้จำนวน 23,643 ล้านบาท
น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า คณะทำงานจะสำรวจรายละเอียดทั้งหมดให้ชัดเจนว่ามีหมู่บ้านที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในระดับ 3A จำนวนเท่าใด และมอบหมายให้กู้เงินจากธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดเตรียมวงเงินไว้ให้แล้วไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบให้จัดประชุมเชิงวิชาการกับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ เพื่อรับฟังแนวทางการดำเนินนโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองของรัฐบาลชุดนี้อย่างเป็นทางการ หลังจากดำเนินการกับโครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเมือง (เอสเอ็มแอล) ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปแล้ว คาดว่าจะเรียกประชุมภายในปลายเดือนมิถุนายนนี้ โดยมีหัวหน้าชุมชน ผู้แทนกองทุนเข้าร่วมประชุมประมาณ 1,400 คน
น.พ.สุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านฯ คนใหม่ เพราะนายสันติ อุทัยพันธ์ ผู้อำนวยการคนปัจจุบันกำลังจะหมดวาระในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ โดยการเปิดรับผู้อำนวยการคนใหม่จะดำเนินการเป็นการทั่วไปไม่มีการปิดกั้น ซึ่งนายสันติ ก็สามารถสมัครเข้ามาใหม่ได้เช่นกัน
ด้านนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เร็ว ๆ นี้จะเชิญธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และธนาคารกรุงไทย มาทำความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านฯ ในระดับ 3 A เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 3 ธนาคาร ได้ปล่อยเงินกู้กับกองทุนหมู่บ้านอยู่แล้วโดยมีเงื่อนไขแตกต่างกัน ซึ่งจากรายงานเบื้องต้นพบว่าการปล่อยเงินกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านฯ ทำให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) น้อย เช่น กรณีของธนาคารออมสิน มีเอ็นพีแอล ที่เกิดจากกองทุนฯ ในระดับ เอ ไม่รวมระดับ 3 A เพียงร้อยละ 0.9 เท่านั้น ขณะที่เอ็นพีแลของธนาคารกรุงไทย ที่ปล่อยให้กับกองทุนขนาด 3 เอ มีเพียงร้อยละ 0.6 จึงเห็นว่าภาครัฐยังจำเป็นต้องสนับสนุนให้กองทุนหมู่บ้านฯ มีแหล่งเงินเพิ่มขึ้น เพื่อนำไปต่อยอดไปพัฒนาศักยภาพของตนเองให้มากขึ้น
ทั้งนี้ สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองได้เสนอขอให้ที่ประชุมขยายวงเงินกู้ให้กับหมู่บ้านทุกระดับ เป็นจำนวน 25,472 กองทุน คิดเป็นวงเงินกู้ 22,490.48 ล้านบาท เพื่อขยายโอกาสให้แก่กองทุนฯ มีเงินพอแก่การดำเนินการตามความต้องการของสมาชิก ทั้งการนำไปสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ โดยต้องการขอกู้จากธนาคารออมสินจำนวน 5,423 กองทุน ธ.ก.ส. จำนวน 19,059 กองทุน และธนาคารกรุงไทย 990 กองทุน แต่ที่ประชุมเห็นว่าควรให้การสนับสนุนกับกองทุนที่มีศักยภาพขนาด 3A ก่อน ที่มีจำนวนประมาณ 9,339 กองทุน ซึ่งในปี 2550 ทั้ง 3 ธนาคารได้ให้เงินกู้แก่กองทุนเพื่อนำไปต่อยอดสร้างศักยภาพให้แก่ประชาชน ในพื้นที่ไปแล้ว 22,490 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2549 ได้ให้เงินกู้จำนวน 23,643 ล้านบาท
