ในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการว่าจ้างกลาง ซึ่งกระทรวงแรงงานนัดหารือ 3 ฝ่าย หรือไตรภาคี ได้แก่ นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล เพื่อให้ได้ข้อสรุปในการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โดยปัจจุบันค่าจ้างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่วันละ 194 บาท และลูกจ้างขอเพิ่มอีกวันละ 9 บาท เป็น 202 บาท
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เห็นด้วยที่จะมีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้กับลูกจ้าง เนื่องจากขณะนี้ภาวะค่าครองชีพสูงขึ้น ดังนั้นการปรับขึ้นค่าจ้างจึงเป็นการบรรเทาภาระของประชาชน
ด้านนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าไทย เห็นว่า การปรับอัตราค่าจ้างต้องมาพร้อมกับประสิทธิภาพการทำงานของลูกจ้างที่ดีขึ้นเพื่อรองรับการแข่งขัน โดยเฉพาะแรงงานฝีมือ ซึ่งปัจจุบันยังด้อยกว่าประเทศที่เกิดใหม่ เช่น เวียดนาม
ส่วนนายบรรยง อัมพรตระกูล ประธานชมรมรถร่วม ขสมก. กล่าวว่า แม้ว่าที่ประชุมคณะกรรมการไตรภาคี พรุ่งนี้จะมีมติให้ปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ อีก 9 บาท แต่ในปีนี้คงไม่ปรับขึ้นค่าจ้างให้พนักงานขับรถ เพราะผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันที่สูงขึ้นกว่าเท่าตัว ซึ่งเงินเดือนที่จ้างในปัจจุบันสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว พนักงานขับรถได้ค่าจ้างเฉลี่ยวันละ 600 บาท ส่วนพนักงานเก็บเงินได้วันละ 350 บาท
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เห็นด้วยที่จะมีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้กับลูกจ้าง เนื่องจากขณะนี้ภาวะค่าครองชีพสูงขึ้น ดังนั้นการปรับขึ้นค่าจ้างจึงเป็นการบรรเทาภาระของประชาชน
ด้านนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าไทย เห็นว่า การปรับอัตราค่าจ้างต้องมาพร้อมกับประสิทธิภาพการทำงานของลูกจ้างที่ดีขึ้นเพื่อรองรับการแข่งขัน โดยเฉพาะแรงงานฝีมือ ซึ่งปัจจุบันยังด้อยกว่าประเทศที่เกิดใหม่ เช่น เวียดนาม
ส่วนนายบรรยง อัมพรตระกูล ประธานชมรมรถร่วม ขสมก. กล่าวว่า แม้ว่าที่ประชุมคณะกรรมการไตรภาคี พรุ่งนี้จะมีมติให้ปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ อีก 9 บาท แต่ในปีนี้คงไม่ปรับขึ้นค่าจ้างให้พนักงานขับรถ เพราะผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันที่สูงขึ้นกว่าเท่าตัว ซึ่งเงินเดือนที่จ้างในปัจจุบันสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว พนักงานขับรถได้ค่าจ้างเฉลี่ยวันละ 600 บาท ส่วนพนักงานเก็บเงินได้วันละ 350 บาท
