ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) เบน เบอร์นันกี กล่าวในวันพฤหัสบดี(28)ว่า อเมริกาจะสามารถหลีกเลี่ยงไม่ต้องประสบภาวะ "stagflation" แบบในยุคทศวรรษ 1970 แต่เขาก็ยอมรับว่า แรงกดดันของระดับราคาที่พุ่งทะยานทั่วโลก ทำให้เฟดต้องลำบากยุ่งยากมากขึ้นในความพยายามที่จะประคับประคองเศรษฐกิจให้เติบโต นอกจากนั้น เบอร์นันกียังเอ่ยด้วยว่าคงจะมีธนาคารเล็กๆ บางแห่งต้องล้มไป จากภาวะสินเชื่อตึงตัวสืบเนื่องจากการทรุดฮวบของภาคที่อยู่อาศัย
"ผมไม่คาดหมายหรอกว่าจะเกิด stagflation" เบอร์นันกีกล่าว เมื่อถูกถามในระหว่างไปให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารของวุฒิสภา เนื่องในโอกาสการแถลงภาวะเศรษฐกิจรอบครึ่งปีต่อรัฐสภา "ผมไม่คิดว่าเรากำลังเข้าไปใกล้ตรงไหนเลยกับสถานการณ์ที่บังเกิดขึ้นในทศวรรษ 1970 ผมคาดหมายด้วยซ้ำว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดต่ำลงมา" ภาวะ stagflation ซึ่งประธานเฟดกล่าวถึงนั้น คือการที่เศรษฐกิจเจอทั้งปัญหาอัตราเจริญเติบโตชะงักงัน และทั้งอัตราเงินเฟ้อก็ขึ้นสูง
ในการแถลงเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันที่สองของการให้ปากคำ หลังจากไปแถลงต่อคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธ(27) เบอร์นันกีย้ำว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อในปัจจุบัน มีสาเหตุจากการที่ทั่วโลกต้องการใช้น้ำมัน โลหะ และอาหาร กันเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ แม้ต่อไปยังจะสูงอยู่ ทว่าน่าที่จะมีเสถียรภาพในระยะไม่กี่เดือนต่อจากนี้ไป
"ผมไม่คาดหมายหรอกว่าจะเกิด stagflation" เบอร์นันกีกล่าว เมื่อถูกถามในระหว่างไปให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารของวุฒิสภา เนื่องในโอกาสการแถลงภาวะเศรษฐกิจรอบครึ่งปีต่อรัฐสภา "ผมไม่คิดว่าเรากำลังเข้าไปใกล้ตรงไหนเลยกับสถานการณ์ที่บังเกิดขึ้นในทศวรรษ 1970 ผมคาดหมายด้วยซ้ำว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดต่ำลงมา" ภาวะ stagflation ซึ่งประธานเฟดกล่าวถึงนั้น คือการที่เศรษฐกิจเจอทั้งปัญหาอัตราเจริญเติบโตชะงักงัน และทั้งอัตราเงินเฟ้อก็ขึ้นสูง
ในการแถลงเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันที่สองของการให้ปากคำ หลังจากไปแถลงต่อคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธ(27) เบอร์นันกีย้ำว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อในปัจจุบัน มีสาเหตุจากการที่ทั่วโลกต้องการใช้น้ำมัน โลหะ และอาหาร กันเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ แม้ต่อไปยังจะสูงอยู่ ทว่าน่าที่จะมีเสถียรภาพในระยะไม่กี่เดือนต่อจากนี้ไป