เมื่อเวลา 20.00 น.วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ต.อ.สาธิต ชยภพ รองผู้บังคับการปราบปรามอาญชญากรรมทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี (รองผบก.ปศท.) แถลงข่าวผลการจับกุม นายอดิเรก โชคบัณฑิต อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 201 ม.3 ต.บ้านเต่า อ.บ้านแท่น จ.ชัยภูมิ ผู้ต้องหาข้อหาใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อชำระสินค้า ค่าบริการ หรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสดเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย พร้อมด้วยของกลาง บัตรวีซ่าของห้างเทสโก้โลตัส ,บัตรวีซ่าของธนาคารนครหลวงไทย และบัตรวีซ่าของธนาคารกรุงเทพ โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณลานจอดรถชั้น 3 ของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาพระราม 3 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กทม.
พ.ต.อ.สาธิต กล่าวว่า หลังจากได้รับการร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ของศูนย์บัตรเครดิตแล้วเจ้าหน้าที่ได้สืบหาจนกระทั่งทราบและจับกุมผู้ต้องหา โดยพฤติการณ์ของผู้เสียหายจะใช้วิธีเปิดเว็ปไซต์ Google เพื่อค้าหารายชื่อนักธุรกิจที่สำคัญๆ เมื่อได้รายชื่อแล้วจะเข้าไปที่เว็ปไซต์ ของ TOT เพื่อจะทราบที่อยู่พร้อมเบอร์โทรศัพท์ของเป้าหมาย จากนั้นจะเข้าไปที่เว็ปไซต์ประกันสังคมหรือโรงพยาบาลต่างๆ หาข้อมูลส่วนบุคคลเลขประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด เมื่อได้ข้อมูลแล้วจะโทรไปที่ศูนย์บัตรเครดิตของธนาคารต่างๆ โดยหลอกว่าเป็นบุคคลดังกล่าว แล้วหลอกถามว่าบัตรเครดิตอนุมติหรือยัง หรือถามยอดเงินของบัญชีที่เหลืออยู่
รองผบก.ปศท.กล่าวอีกว่า เมื่อผู้ต้องหาได้ข้อเท็จจริงแล้วว่าบุคคลดังกล่าวมีบัตรเครดิตอยู่ธนาคารนั้นๆ ก็จะโทรไปที่ธนาคารนั้นๆ เมื่อเจ้าหน้าที่รับสายและถามข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งผู้ต้องหาเตรียมไว้แล้วก็บอกข้อมูลได้ตรงกับบัตรเครดิต หลังจากนั้นทิ้งเวลาประมาณ 2-3 วันจะโทรกลับไปอีกครั้งหนึ่งแล้วแจ้งขอเปลี่ยนที่อยู่อ้างว่าบัตรหายแล้วส่งบัตรมาใหม่ไปให้ที่อยู่ใหม่ซึ่งเป็นที่อยู่ของผู้ต้องหา ทั้งนี้เจ้าของบัตรที่แท้จริงจะไม่ทราบเรื่องและไม่เกี่ยวข้องด้วย เมื่อธนาคารส่งบัตรมาตามที่อยู่ใหม่ที่ผู้ต้องหาระบุ แล้วผู้ต้องหาได้นำบัตรไปใช้โดยการเบิกเงินสดบ้างรูดซื้อสิ้นค้าหรือชำระค่าบริการต่างๆ ขณะนี้เท่าที่ตรวจสอบได้รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 6 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามผู้ต้องหาถูกตำรวจ สน.ปทุมวัน จับกุมในข้อหาเดียวกันและยังอยู่ในการประกันตัวในชั้นศาลแต่ผู้ต้องหาหลบหนีมาก่อเหตุ อีกโดยก่อเหตุในพื้นที่ สน.ปทุมวัน สน.พระโขนง ซึ่งต้องส่งตัวผู้ต้องหาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.อ.สาธิต กล่าวว่า หลังจากได้รับการร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ของศูนย์บัตรเครดิตแล้วเจ้าหน้าที่ได้สืบหาจนกระทั่งทราบและจับกุมผู้ต้องหา โดยพฤติการณ์ของผู้เสียหายจะใช้วิธีเปิดเว็ปไซต์ Google เพื่อค้าหารายชื่อนักธุรกิจที่สำคัญๆ เมื่อได้รายชื่อแล้วจะเข้าไปที่เว็ปไซต์ ของ TOT เพื่อจะทราบที่อยู่พร้อมเบอร์โทรศัพท์ของเป้าหมาย จากนั้นจะเข้าไปที่เว็ปไซต์ประกันสังคมหรือโรงพยาบาลต่างๆ หาข้อมูลส่วนบุคคลเลขประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด เมื่อได้ข้อมูลแล้วจะโทรไปที่ศูนย์บัตรเครดิตของธนาคารต่างๆ โดยหลอกว่าเป็นบุคคลดังกล่าว แล้วหลอกถามว่าบัตรเครดิตอนุมติหรือยัง หรือถามยอดเงินของบัญชีที่เหลืออยู่
รองผบก.ปศท.กล่าวอีกว่า เมื่อผู้ต้องหาได้ข้อเท็จจริงแล้วว่าบุคคลดังกล่าวมีบัตรเครดิตอยู่ธนาคารนั้นๆ ก็จะโทรไปที่ธนาคารนั้นๆ เมื่อเจ้าหน้าที่รับสายและถามข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งผู้ต้องหาเตรียมไว้แล้วก็บอกข้อมูลได้ตรงกับบัตรเครดิต หลังจากนั้นทิ้งเวลาประมาณ 2-3 วันจะโทรกลับไปอีกครั้งหนึ่งแล้วแจ้งขอเปลี่ยนที่อยู่อ้างว่าบัตรหายแล้วส่งบัตรมาใหม่ไปให้ที่อยู่ใหม่ซึ่งเป็นที่อยู่ของผู้ต้องหา ทั้งนี้เจ้าของบัตรที่แท้จริงจะไม่ทราบเรื่องและไม่เกี่ยวข้องด้วย เมื่อธนาคารส่งบัตรมาตามที่อยู่ใหม่ที่ผู้ต้องหาระบุ แล้วผู้ต้องหาได้นำบัตรไปใช้โดยการเบิกเงินสดบ้างรูดซื้อสิ้นค้าหรือชำระค่าบริการต่างๆ ขณะนี้เท่าที่ตรวจสอบได้รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 6 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามผู้ต้องหาถูกตำรวจ สน.ปทุมวัน จับกุมในข้อหาเดียวกันและยังอยู่ในการประกันตัวในชั้นศาลแต่ผู้ต้องหาหลบหนีมาก่อเหตุ อีกโดยก่อเหตุในพื้นที่ สน.ปทุมวัน สน.พระโขนง ซึ่งต้องส่งตัวผู้ต้องหาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป