xs
xsm
sm
md
lg

“7 ตำนานเร้นลับ” ความเชื่อมหัศจรรย์แห่ง “ถ้ำนาคา-ภูลังกา”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพจาก อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม - Phulangka National Park Thailand
นาทีนี้ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก “ถ้ำนาคา”หรือ “ถ้ำพญานาค” ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ แหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดัง เนื่องจากมีของหินและผนังถ้ำดูคล้ายพญานาค ที่มีรูปทรงคล้ายพญานาคหรืองูขนาดใหญ่นอนขดตัว โดยมีส่วนสำคัญ ๆ ทั้งส่วนหัว ลำตัว และเกล็ดพญานาค (ตามจินตนาการและความเชื่อของชาวบ้าน) ซึ่งในขณะนี้ได้ถูกปิดตัวลงจนกว่าจะมีมาตรการป้องกันที่ชัดเจน อันเนื่องมาจากมีนักท่องเที่ยวไร้สำนึกทำธรรมชาติเสียหาย

อย่างไรก็ดี แม้ถ้ำนาคาจะปิดงดเที่ยวชั่วคราว แต่ภายในอุทยานแห่งชาติภูลังกา ยังมีไฮไลท์ สำคัญ อีก 5 จุด ที่ยังคงเปิดให้เที่ยวชมกันในแบบ New Normal ได้แก่ 1.หัวนาคา หัวที่ 2 2.หินหัวรถบัส 3.
เจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์ (ขึ้นได้ 2 ทาง คือ 1.จากที่ทำการอุทยาน
2.จากหน่วยพิทักษ์อุทยานพระธาตุเจดีย์ 4.น้ำตกตาดโพธิ์ ทุกชั้น
(บริเวณที่ทำการอุทยานฯ) 5.น้ำตกตาดขาม

นอกจากนี้ทาง อุทยานแห่งชาติภูลังกา ยังได้เผยแพร่ข้อมูล เกี่ยวกับ 7 ตำนานลี้ลับอันน่าอัศจรรย์ของถ้ำนาคาและภูลังกา ผ่านทาง เพจ "อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม" ซึ่งเราได้ประมวลมานำเสนอ ดังนี้

ภาพจาก อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม - Phulangka National Park Thailand
1. “ถ้ำนาคา”ตำนานพญานาคที่ถูกสาปเป็นหิน

จากตำนานชาวบ้านเรื่องปู่อือลือที่ข้องเกี่ยวกับภูลังกาและบึงโขงหลงนั้นเชื่อว่าเกิดจากการล่มเมืองของพญานาคซึ่งเกิดจากความรักที่ไม่สมหวังระหว่างพญานาคกับมนุษย์ทำให้เมืองที่เจริญรุ่งเรืองล่มสลายบริเวณแห่งนี้เดิมเป็นที่ตั้งเมืองชื่อรัตพานครมีพระอือลือราชาเป็นผู้ครองนครมีมเหสีชื่อนางแก้วกัลยามีพระธิดาชื่อพระนางเขียวคำต่อมาได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าสามพันตามีพระโอรสชื่อเจ้าชายฟ้ารุ่งซึ่งเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดมีความรอบรู้และมีรูปงามด้วยขณะประสูติมีท้องฟ้าสว่างไสว

ต่อมาได้อภิเษกสมรสกับนาครินทรานีซึ่งเป็นพระธิดาของพญานาคราชแห่งเมืองบาดาลที่แปลงกายเป็นมนุษย์ทั้งสองอยู่กินกันมาเป็นเวลา 3ปีก็ไม่สามารถจะมีผู้สืบสายสกุลได้ (เพราะธาตุมนุษย์กับนาค)จึงทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจกับทั้งสองต่อมาเจ้าหญิงนาครินทรานีล้มป่วยลงทำให้ร่างกายของนางที่เป็นมนุษย์กลายเป็นนาคตามเดิมโดยข่าวนี้ได้แพร่สะพัดออกไปทั่วกรุงรัตพานคร

และถึงแม้นางจะร่ายมนตร์กลับเป็นมนุษย์ประชาชนและพระเจ้าอือลือก็ไม่พอใจจึงได้ขับไล่นางนาครินทรานีกลับสู่เมืองบาดาลดังเดิมโดยได้แจ้งให้พญานาคราชมารับตัวกลับก่อนกลับพญานาคราชได้ขอเครื่องกกุธภัณฑ์ของตระกูลคืนแต่พระเจ้าอือลือราชาไม่สามารถคืนให้ได้เนื่องจากนำไปแปรสภาพเป็นอย่างอื่นทำให้พญานาคราชกริ้วมากและประกาศว่าจะทำลายเมืองรัตพานครและจะเหลือเอาไว้เพียง 3วัดเท่านั้นหลังจากพญานาคกลับไปในตอนกลางคืนพญานาคราชได้ยกไพร่พลมาถล่มเมืองรัตพานครและประชาชนก็ไม่มีใครรอดพ้นจากฤทธิ์นาคได้

พอนางนาครินทรานีทราบข่าวก็ขึ้นมาตามหาเจ้าชายฟ้ารุ่งจนถึงแม่น้ำสงครามก็ไม่พบจึงกลับเมืองบาดาลเมืองรัตพานครได้ถล่มเป็น "บึงหลงของ" ต่อมานานเข้าคำพูดก็กลายเป็นโขงหลงและวัดที่เหลือ 3วัดก็คือวัดดอนแก้ว (วัดแก้วฟ้า)วัดดอนโพธิ์ (วัดโพธิสัตว์)และวัดดอนสวรรค์ (วัดแดนสวรรค์)ทางที่นางนาครินทรานีตามหาเจ้าชายฟ้ารุ่งคือห้วยน้ำเมา (เมารัก)

ส่วนพระอือลือราชาไม่ได้สิ้นพระชนม์ไปกับเหตุการณ์นี้ด้วยแต่ถูกพระยานาคราชจับตัวไว้พร้อมกับสาปให้พระอือลือราชากลายร่างเป็นนาคเฝ้าอยู่ในภูลังกาหรือบึงโขงหลงชั่วนิรันดร์จนกว่าจะมีเมืองเกิดใหม่ในดินแดนแห่งนี้จึงจะล้างคำสาปของพระยานาคราชได้

ภาพจาก อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม - Phulangka National Park Thailand
2. “เมืองหลวงของชาวบังบด”ตำนานดินแดนแห่งเมืองบังบด (เมืองลับแล)

จากเรื่องเล่าของหลวงปู่วัง (เพพเจ้าแห่งภูลังกา)ท่านได้เล่าให้ฟังว่ามีชาวบังบดมานิมนต์คืนหนึ่งเมื่อท่านนั่งสมาธิพอจิตสงบแล้วได้เห็นสิ่งหนึ่งคล้ายกับอู่ (เปล)ของเด็กลอยมาหน้าถ้ำแล้วก็มุ่งมาที่ถ้ำอู่นั้นก็ลอยต่ำลงมาที่ท้ายถ้ำมีคนมาในนั้น 5คนมีทั้งคนหนุ่มคนเฒ่าทั้งชายและหญิงเมื่อเขามาแล้วกราบท่านแล้วแจ้งความประสงค์ให้ท่านทราบว่าจะมานิมนต์ท่านให้ไปอยู่เมืองบังบดกับเขาเมืองนั้นอยู่บริเวณป่าตาดน้ำตกแถวนั้นเมื่อท่านได้กวาดสายตาไปดูเข้าได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งใบหน้าและทรงผมเหมือนกับผู้หญิงที่ได้พบตอนกลางวันวันก่อนท่านจึงทักว่าโยมเคยมาหาอาตมาแล้วมิใช่หรือผู้หญิงคนนั้นจึงประณมมือตอบท่านว่าใช่แล้วที่ไม่เขามาหาท่านวันนั้นเพราะเห็นท่านอยู่รูปเดียวเห็นว่าเป็นเวลาไม่เหมาะสมจึงไม่กล้ามากราบท่านแล้วหลวงปู่วังก็บอกเขาว่าไปอยู่กับพวกท่านไม่ได้เขาตอบว่าถ้าไม่ไปอยู่กับเขาแล้วที่เณรทั้ง 3ไปเก็บเส้นเทาที่ตาดน้ำตกนั้นเขาเห็นอยู่ต่อไปนี้จะไม่มีเส้นเทาอีกแล้ว (เทาเป็นตะไคร่น้ำหรือสาหร่ายเกิดตามหินที่มีน้ำไหลตลอดเป็นเส้นสีเขียวคล้ายเส้นผมยาวคืบหนึ่งหรือยาวกว่าชาวอีสานเรียกว่าเทาเอามาทำเป็นอาหารได้เรียกว่าลาบเทา )เมื่อท่านได้รับคำนิมนต์ของเขาแล้วเขาก็กราบลากลับขึ้นอู่เหาะไปเหมือนเมื่อตอนเขามาต่อมาก็แปลกมากคือเทาที่เกิดอยู่ที่นั้นไม่มีอีกเลย

ต่อมาก็มีเหตุการณ์ของเจ้าหนุ่มบวรหลานชายของหลวงปู่วังอยากจะบวชเป็นพระแต่อายุยังไม่ครบหลวงปู่วังให้นุ่งขาวห่มขาวถือศีล 8เป็นพ่อขาวฝึกปฏิบัติธรรมไปก่อนวันหนึ่งบวรไปแสวงหาต้นตาวในป่าภูลังกาจะเอาต้นตาวมาต้มแกงถวายพระเณรในตอนเช้าบวรได้หายตัวไปไม่กลับมาเลยพระเณรและพ่อขาวได้ออกตามหาจนกระทั่งมืดค่ำก็ไม่พบร่องรอยใดๆหลวงปู่วังได้นั่งสมาธิดูก็ได้พบว่าบวรไปอยู่กับสาวงามชาวลับแลอยู่กินเป็นผัวเมียกันเสียแล้วเป็นไปตามเหตุปัจจัยบุพพวาสนาเก่าหรือบุพเพสันนิวาสบันดาลให้มาเจอกันเพราะเป็นเนื้อคู่กัน 

หัวหน้าชาวลับแลได้บอกกับหลวงปู่วังว่าเจ้าหนุ่มบวรมาอยู่เมืองลับแลถูกต้องตามจารีตประเพณีของเมืองลับแลจะกลับออกไปไม่ได้จะต้องดำเนินชีวิตเหมือนชาวลับแลทุกอย่างหากทำผิดกฏจารีตประเพณีก็จะถูกขับไล่กลับเมืองมนุษย์ฉะนั้นในระหว่างนี้จะให้บวรกลับถ้ำชัยมงคลไม่ได้หลวงปู่วังเข้าใจกฏจารีตประเพณีนี้ก็อับจนปัญญาไม่รู้จะช่วยบวรได้อย่างไรจะอธิบายให้ญาติพี่น้องฟังเขาคงจะไม่เชื่อเพราะเรื่องเมืองลับแลพิสูจน์ไม่ได้เลยที่เล่าๆกันมาก็เป็นเชิงนิยายปรัมปราเอาสาระไม่ได้ญาติพี่น้องคงจะเชื่อว่าบวรตกเหวตายหรือถูกเสือถูกงูเหลือมกินไปแล้วมากกว่า

หัวหน้าชาวลับแลได้บอกว่าพระอาจารย์อย่าได้คิดวิตกเป็นทุกข์ไปเลยถ้าใครสงสัยเรื่องบวรไปอยู่เมืองลับแลก็ให้คนนั้นมาที่ภูลังกานุ่งขาวถือศีล 8มานั่งสมาธิภาวนาอธิษฐานจิตขอเห็นเมืองลับแลอยากจะพบบวรก็จะได้พบสมความปรารถนาหายสงสัยโดยกระผมจะให้คนนำทางมารับเข้าเมืองลับแลถ้าไม่กล้าเข้าไปในเมืองลับแลก็ให้เลือกเอาวิธีออกไปยืนกลางแจ้งในเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ได้ร้องตะโกนดังๆว่าบวรอยู่ที่ไหน?ก็จะมีเสียงของบวรตะโกนตอบออกมาจากเมืองลับแลจะซักถามอะไรก็ได้แต่จะพบตัวบวรไม่ได้

หลวงปู่วังได้เล่าเรื่องนี้ให้พระเณรฟังดังนั้นในวันต่อมาพระอาจารย์โง่นโสรโยกับพระเณรและพ่อขาวได้พากันไปพิสูจน์ออกไปยืนอยู่กลางแจ้งบนภูลังกาในเวลากลางวันร้องตะโกนเรียกหาบวรก็ปรากฏอัศจรรย์ว่ามีเสียงของบวรตะโกนตอบมาจากดงไม้ในหุบเขาเมื่อซักถามต่างๆบวรก็ตอบได้ถูกต้องชัดเจนว่าเป็นบวรจริงๆไม่ใช่คนอื่นแอบอ้างเป็นตัวบวรแต่อย่างใด

บวรได้บอกว่าเขาอยู่สบายดีมีความสุขกับเมียสาวชาวลับแลชีวิตความเป็นอยู่ของชาวลับแลเหมือนบ้านเมืองมนุษย์ทุกอย่างชาวลับแลไม่ใช่ภูตผีหากเป็นมนุษย์เผ่าหนึ่งที่หายตัวได้กำบังตาได้ทำให้มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ยกเว้นแต่ในกรณีที่ชาวลับแลอยากให้เราเห็นถึงจะเห็นได้บวรยังได้บอกอีกว่าเขาพอใจจะอยู่ที่เมืองลับแลไม่อยากกลับออกมาอยู่เมืองมนุษย์เลยขออย่าได้เป็นห่วงเป็นใยใครได้มาอยู่เมืองลับแลแล้วก็จะติดใจเพราะมีความสุขกายสบายใจเป็นแดนทิพยสุขมหัศจรรย์อธิบายไม่ถูกต้องมาเห็นเองถึงจะรู้ได้ด้วยตนเอง

ภาพจาก อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม - Phulangka National Park Thailand
3. “เมืองพญานาค”ตำนานดินแดนแห่งเมืองพญานาคราช (เมืองบาดาล)

จากเรื่องเล่าของหลวงปู่วังว่าเมื่อคืนมีพญานาคมาหาในนิมิตสมาธิบอกว่ามาขอส่วนบุญพอตกกลางวันวันนั้นมีงูตัวหนึ่งสีแดงทั้งตัวขนาดไม่ใหญ่นักยาวประมาณสองศอกเลื้อยเข้ามาในถ้ำชัยมงคลแล้วหายเข้าไปในถ้ำเมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนจะทำการถวายภัตตาหารหลวงปู่วังได้กล่าวว่าบุญกุศลที่พวกเณรและผ้าขาวถวายภัตตาหารแด่พระเณรให้อุทิศไปให้พญานาคแล้วท่านก็พาทำบุญอุทิศครั้นวันถัดมาท่านได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนพญานาคมาหาอีกครั้งบอกว่าเขาได้รับบุญกุศลแล้วมาขอลาไปสู่สุคติภพที่ดีกว่า

หลวงปู่วังได้เล่าว่าพญานาคเป็นพวกกายทิพย์อยู่เมืองบาดาลหรือนาคพิภพเป็นสัตว์ประเสริฐศักดิ์สิทธิ์เขตภูลังกาก็ดีบึงโขงโหลงก็ดีแม่น้ำศรีสงครามและแม่น้ำต่างๆเช่นแม่น้ำโขงก็ดีอยู่ในเขตปกครองของพญานาคเป็นมรรควิถีทางขึ้นลงนาคพิภพทั้งนั้นพญานาคคอแดงเป็นมิตรกับพระสงฆ์องค์เณรเป็นผู้รักษาพระพุทธศาสนาและรักษาพุทธศาสนิกชนผู้อยู่ในศีลในธรรมใครไม่อยู่ในศีลในธรรมประพฤติตนเป็นคนเลวคนพาลพาโลขี้โมโหโกรธาพวกพญานาครังเกียจจะไม่พิทักษ์รักษาตกน้ำก็ไหลตายตกไฟก็ไหม้ตายวอดวายไป

พญานาคและชาวเมืองลับแลมาช่วยสร้างเจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์หรือพระธาตุภูลังกาเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศเนปาลขนาดกว้าง 12เมตรยาว 12เมตรสูง 19เมตรสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2542ตั้งอยู่บนลานหินที่มีลักษณะคล้ายภูกองข้าวซึ่งเป็นจุดสูงสุดของภูลังกาสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 563เมตรลักษณะทั่วไปเป็นลานหินกว้างสลับด้วยพรรณไม้นานาชนิดมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปีบริเวณรอบๆเจดีย์เป็นจุดชมวิวดูพระอาทิตย์ขึ้นทางแม่น้ำโขงฝั่งประเทศลาวและชมพระอาทิตย์ตกที่บริเวณบึงโขงหลงที่สวยงามมากและสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านล่างโดยรอบได้ไกลไปจนถึงแม่น้ำโขงและประเทศลาว

ตามประวัติเจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์สร้างขึ้นโดยนิมิตรของพระอาจารย์สมชายปุญญมโน (วัดป่าสว่างบุญจ.สระบุรี)เมื่อครั้งขึ้นมาปฏิบัติภาวนาที่ภูลังกาเมื่อปีพ.ศ. 2542โดยนิมิตรว่ามีเทวดาพระภูมิเจ้าที่เป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่แต่งกายคล้ายพระสงฆ์วัยชราแต่ศรีษะเป็นช้างมาขอนิมนต์ให้ท่านสร้างเจดีย์แห่งนี้ในขณะที่ภาวนาวันนั้นมีชาวบังบดหรือชาวลับแลได้มานิมนต์ท่านไปดูแบบเจดีย์และรับปากว่าเดี๋ยวพวกข้าจะช่วยท่านสร้าง (เมืองบังบดที่อยู่ในภูลังกาซึ่งเป็นเหมือนเมืองหนึ่งที่มีผู้คนอยู่อาศัยจำนวนมาก)วันรุ่งขึ้นมีชาวบ้านกลุ่มลึกลับ (น่าจะเป็นชาวบังบด)มาช่วยแบกอิฐหินทรายเกือบ 100 คนและเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากขณะที่สร้างเจดีย์บนภูลังกานั้นของหนักก็เป็นของเบาของยากก็เป็นของง่ายของไม่มีก็จัดสรรมีมาเองคนไม่เคยมาช่วยก็จะมีมาอย่างต่อเนื่องวันหนึ่งอย่างน้อยมีผู้คนมาช่วยอย่างน้อยก็ร้อยกว่าคนอยู่อย่างนั้นส่วนอาหารการกินบนยอดภูลังกานั้นมีอย่างกับตลาดสดทั้งน้ำแข็งไอศกรีมอีกทั้งก๋วยเตี๋ยวเพียบไม่รู้คนหลั่งไหลมาจากไหนทั่วทิศแต่หลวงพ่อทราบว่าคนเหล่านี้เป็นบริวารของพญานาคท้าวภุชงค์โดยใช้เวลาในการก่อสร้างเสร็จภายในระยะเวลา 59 วันพอเสร็จปรากฏว่าคืนนั้นเวลาตี 3ฝนได้ตกลงมา 10วัน 10คืนได้ทำการชะล้างสิ่งต่างๆที่ผู้คนได้ถ่ายหนักเบาลงมาจากนั้นจึงได้ทำการฉลองที่เชิงเขาข้างล่างด้วยการถวายสังฆทานพระทั้งหมด 16วัดใช้งบในการสร้างหมดไป 1,104,097 บาทและเป็นการสร้างเจดีย์ที่ไม่ได้เสียเงินจ้างแรงงานเลย

ภาพจาก อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม - Phulangka National Park Thailand
4. “พระเจ้า 5พระองค์”ตำนานดินแดนประสูติของพระพุทธเจ้า 5พระองค์

ตามตำนานพระเจ้าห้าพระองค์นั้นกล่าวว่ากาเผือกได้ตกไข่ 5 ฟองที่ภูลังกาวันหนึ่งเกิดลมพายุใหญ่หอบเอาไข่ปลิวไปตามลมไข่นั้นได้ตกกระจัดกระจายไปในสถานที่หลายแห่งต่อมาไข่นั้นได้ฟักออกมาเป็นพระพุทธเจ้ากกุสันโธพระพุทธเจ้าโกนาคโมพระพุทธเจ้ากัสสโปพระพุทธเจ้าโคตโมและองค์ต่อไปได้แก่พระศรีอาริยเมตรัยโยที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตอีกประมาณ 750 ล้านปีเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ในภัทรกัปนี้ (ตัวเลข 750 ล้านปีเป็นเพียงสันนิษฐานของปราชญ์ผู้รู้อย่าได้ยึดเอาเป็นหลักฐานทางประวัติพุทธศาสนา) และยังมีความพิสดารแถมท้ายอีกว่ากาทั้งหลายไม่กล้าบินผ่านไปจะต้องถูกอำนาจอาถรรพ์ลึกลับที่ภูลังกาเป็นพายุใหญ่พัดพากาตัวนั้นให้เซถลาปลิวว่อนไปทางป่าเซกา (เขตอำเภอเซกาในปัจจุบัน)

ความลึกลับของภูลังกาหรือ (รังกา) อันเป็นดินแดนลี้ลับอย่างอาถรรพณ์มีภูเขาห้าลูกเชื่อมโยงกันด้วยป่าไม้หนาแน่นสูงเฉียดฟ้าและหุบเหวมีเรื่องปรัมปราพื้นบ้านเล่าสืบทอดกันมาว่าภูลังกาในสมัยดึกดำบรรพ์ยุคสร้างโลกเป็นที่สถิตอยู่ของรังกาเผือกมีไข่ 5ฟองวันหนึ่งขณะที่กาเผือกสองผัวเมียออกไปหาอาหารได้เกิดลมพายุพัดเอารังกาพลิกไหวไข่ทั้ง 5 ฟองปลิวไปตามลมแรงกระจัดกระจายไปตกลงยังที่ต่างๆ
ไข่ฟองที่ 1 ไปตกยังถิ่นของแม่ไก่แม่ไก่นำไปเลี้ยงไว้ต่อมาก็คือพระกกุสันโธพุทธเจ้า
ไข่ฟองที่ 2 ไปตกในเมืองพญานาคท้าวพญานาคนำไปเลี้ยงไว้ต่อมาได้เป็นพระโกนาคมพุทธเจ้า
ไข่ฟองที่ 3 ไปตกในแดนของเต่าพญาเต่านำไปเลี้ยงไว้กลายเป็นพระกัสโปพุทธเจ้า
ไข่ฟองที่ 4 ไปตกในแดนแม่โคแม่โคได้เลี้ยงไว้ต่อมากลายเป็นพระสมณโคตมะพุทธเจ้าและ
ไข่ฟองที่ 5 ไปตกที่แดนของพญาราชสีห์พญาราชสีห์เอาไปเลี้ยงไว้กลายเป็นพระศรีอริยเมตไตรยรวมเป็นพระเจ้า 5 พระองค์

เรื่องภูลังกาที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า 5 พระองค์นี้เป็นเรื่องพื้นถิ่นความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาบันดาลใจให้ชาวบ้านเทิดทูนพระพุทธเจ้าต้องการให้เห็นว่าพื้นถิ่นของตนนั้นมีความผูกพันเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์อยู่ตลอดไปก็เลยเป็นว่าภูลังกาเป็นที่เกิดของพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์

ภาพจาก อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม - Phulangka National Park Thailand
5. “ธรรมสถานแห่งพระอริยะ”ตำนานดินแดนสนามรบกิเลส (พระธุดงค์กรรมฐาน)

ภูลังกาเป็นสนามรบกับกองทัพกิเลสที่กองทัพธรรมของหลวงปู่มั่นภูริทัตตเถระส่งศิษยานุศิษย์ที่เป็นพระธุดงค์กรรมฐานทุกรุ่นทุกสมัยมารบราฆ่าฟันกับกิเลสตัณหาที่ภูลังกาไม่เคยเลิกราจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ภูลังกาเป็นธรรมสถานแห่งพระอริยะพระป่าในสายของหลวงปู่มั่นภูริทัตตเถระได้เคยไปอยู่จำพรรษาหรือไปเพื่อการวิเวกบนภูลังกาหลายองค์พระกรรมฐานที่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพเลื่อมใสของมหาชนที่เคยไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ภูลังกามาแล้วคือหลวงปู่เสาร์,หลวงปู่มั่น,หลวงปู่ฝั้น,หลวงปู่เทสก์,หลวงปู่อ่อน,หลวงปู่สิม,หลวงปู่วัง,พระอาจารย์สมชาย,หลวงพ่อชา,พระอาจารย์โง่น,พระอาจารย์สีโห,พระอาจารย์วัน,พระครูอดุลธรรมภาณเป็นต้น

ภูลังกาเป็นดินแดนพิสูจน์คนกล้าพระแกร่งยอดเขาด้านหลังคือภูลังกาจากพื้นถึงยอดประมาณ 2 กิโลเมตรภูลังกาเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระป่าอันสัปปายะวิเวกที่ครูบาอาจารย์สมัยก่อนชอบแวะเวียนไปอยู่เสมอถึงแม้จะลำบากในเรื่องอาหารต้องอดแห้งอดแล้งท้องกิ่วเหมือนฤๅษีชีไพรและอาหารที่ไปบิณฑบาตมาได้จะเป็นเพียงข้าวเหนียว 1 ก้อนเล็กๆกับเกลือและพริกได้มาแค่ไหนก็ฉันกันแค่นั้นไม่คิดมากไม่ถือว่าเรื่องอาหารเป็นอุปสรรคในการเจริญภาวนาเพราะจิตมีความมุ่งหมายอยู่ที่การขูดเกลากิเลสตัณหาความทะยานอยากให้หมดไปเพื่อพ้นทุกข์จิตสะอาดบริสุทธิ์สว่างสงบเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานดังนั้นพระป่าจึงไม่มีการบ่นว่าหิวเหลือเกินอ่อนเพลียไม่มีแรงจะเป็นลมต่างก็หุบปากเงียบเฝ้าแต่เดินจงกรมกับนั่งสมาธิภาวนากำหนดสติรู้คอยระมัดระวังกิเลสตัณหาในตัวเองอยู่ตลอดเวลารู้เท่าทันกิเลสใช้ขันติความอดทนอดกลั้นในทุกสถานการณ์ไม่ทำตามกิเลสทุกรูปแบบบังคับตัวเองได้เป็นนายตัวเองได้ถ้าเจ็บไข้อาพาธไม่ต้องไปหาหยูกยาใดๆรักษาตัวเองด้วยการนั่งสมาธิภาวนาสลับกับเดินจงกรมไม่ฉันอาหารเพื่อให้กระเพาะลำไส้ได้หยุดพักผ่อนเรียกว่ารักษาด้วยธรรมโอสถหายก็ดีไม่หายก็ตายถ้าตายก็หายห่วงจะได้ดับให้สนิทไปเลยไม่ต้องกลับมาเกิดอีกความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอะไร

ภาพจาก อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม - Phulangka National Park Thailand
6. “ภูลังกา”ตำนานดินแดนอาถรรพ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ภูลังกาเป็นแดนอาถรรพ์เกี่ยวเนื่องผูกพันอยู่กับภพภูมิผีสางเทวดาสิ่งลี้ลับมีทั้งฝ่ายดีคือสัมมาทิฐิและฝ่ายชั่วคือมิจฉาทิฐิทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วได้จับตาดูพระสงฆ์องค์เณรอยู่ตลอดเวลาว่าจะประพฤติผิดศีลวินัยข้อใดบ้างเรียกว่าเขาคอยจ้องจับผิดถ้าพบว่าพระสงฆ์องค์เณรรูปใดทำผิดเป็นอาบัติเขาจะเล่นงานทันทีเป็นต้นว่าทำให้เจ็บไข้อาพาธทำให้ถึงพิการหรือตายก็ได้ฉะนั้นขอให้พระเณรทุกรูปรักษาศีลทุกข้อให้เคร่งครัดตามสำรวมกายสำรวมวาจาสำรวมความนึกคิดให้อยู่แต่ทางบุญกุศลอย่านึกคิดชั่วๆลามกจกเปรตคึกคะนองเป็นอันขาด

หนึ่งในเทือกเขาภูลังกาอันกว้างใหญ่แม้แต่พวกโอปปาติกะหรือวิญญาณมาจากสวรรค์แดนพรหมโลกมาบำเพ็ญบารมีแสวงบุญที่ภูลังกาเพราะเป็นสถานที่สงัดวิเวกและศักดิ์สิทธิ์มานานตั้งแต่ดึกดำหลวงปู่วังเล่าว่าพรหมทั้งสี่ได้บอกท่านว่าภูลังกามี 5ลูกเป็นเทือกเขาบริเวณกว้างขวางหนาแน่นด้วยต้นไม่ใหญ่น้อยเป็นสวนสมุนไพรนานาชนิดมีโอสถสารวิเศษหายากมากไปด้วยคูหาเถื่อนถ้ำลึกลับและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับพิสดาร

ทางโลกวิญญาณได้แบ่งภูลังกาเป็นเขตเป็นภูมิต่างๆเป็นต้นว่าเขตหรือภูมิของพรหมสำหรับพวกพรหมลงมาบำเพ็ญธรรมในโลกเขตหรือภูมิของพวกพญานาคเขตหรือภูมิของพวกปิศาจอสุรกายเขตหรือภูมิของพวกลับแล (บังบดหรือคนธรรพ์)ซึ่งเป็นผีจำพวกหนึ่งที่มีกายหยาบใกล้เคียงกับมนุษย์เรียกว่าอมนุษย์ผีลับแลมีคุณธรรมสูงถือศีล 5เคร่งครัดจะเป็นเทวดาก็ไม่ใช่จะเป็นผีก็ไม่เชิงจะเป็นมนุษย์ก็ก้ำๆกึ่งๆครึ่งๆกลางๆเพราะมีบุญฤทธิ์พิเศษล่องหนหายตัวได้และสร้างภพภูมิของพวกตนเป็นบ้านเป็นเมืองอยู่อาศัยได้แต่เมื่อถึงคราวพวกลับแลสิ้นกรรม (หมดอายุขัย)บ้านเมืองของพวกเขาก็จะหายวับเป็นอากาศธาตุไปทันทีภูตผีปีศาจทั้งหลายมีความยำเกรงพวกลับแลมากไม่กล้าตอแยข่มเหงเบียดเบียน

บริเวณถ้ำชัยมงคลที่หลวงปู่วังมาอยู่นี้อยู่ในเขตของพวกพรหมที่ลงมาปฏิบัติธรรมอยู่เสมอจึงอยากให้หลวงปู่วังเคร่งครัดในพระธรรมวินัยอย่าล่วงเกินธรรมวินัยเป็นอันขาดเพราะจะได้รับอันตรายจากพวกพญานาคพวกลับแลหรือบังบดและพวกยักษ์ที่รักษาป่าไม้ภูเขาเถื่อนถ้ำห้ามฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิดให้ฉันได้ก็แต่อาหารพรหมหรืออาหารมังสวิรัติ (อาหารเจ) เพราะย่านถ้ำชัยมงคลบนภูลังกาเป็นภูมิหรือเขตบริสุทธิ์ของพวกพรหม

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพวกพรหมอีกหลายองค์ได้ผลัดเปลี่ยนกันมาสนทนาธรรมกับหลวงปู่วังอยู่เสมอท่านบอกพระสหธรรมมิกร่วมสมัยเช่นหลวงปู่ฝั้นหลวงปู่เทสก์หลวงปู่อ่อนว่าเรื่องของพรหมบนภูลังกาเป็นเรื่องลี้ลับพิสดารมากไม่อยากจะเล่าให้ใครฟังเลยกลัวเขาไม่เชื่อนอกจากจะสามารถติดต่อกับพวกพรหมจากสวรรค์พรหมโลกหลวงปู่วังยังติดต่อกับชาวลับแลหรือบังบดหรือคนธรรพ์ได้ติดต่อกับพวกพญานาคได้รวมถึงยักษ์หรืออสูรหรือรากษสได้เป็นปกติเพราะที่ภูลังกาเป็นภูมิหรือที่อยู่ของวิญญาณหลายภูมิดังกล่าวมาแล้วเป็นพวกกายทิพย์อยู่เมืองบาดาลหรือนาคพิภพเป็นสัตว์ประเสริฐศักดิ์สิทธิ์เขตภูลังกาก็ดีบึงโขงโหลงก็ดีแม่น้ำศรีสงครามและแม่น้ำต่างๆเช่นแม่น้ำโขงก็ดีอยู่ในเขตปกครองของพญานาคเป็นมรรควิถีทางขึ้นลงนาคพิภพทั้งนั้น

ภาพจาก อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม - Phulangka National Park Thailand
7. “ดินแดนสมุนไพร”ตำนานรามเกียรติ์ตอนพระลักษณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์

จากตำนานเรื่อง “รามเกียรติ์” แห่งกรุงลงกา (ลังกา) ตอน “พระลักษณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์” กุมภกรรณนำหอกโมกขศักดิ์กลับไปประกอบพิธีลับหอกที่เขาทับทิมริมแม่น้ำใหญ่กุมภกรรณจัดสั่งให้ตั้งโรงพิธีใหญ่พร้อมทั้งเครื่องบูชาอย่างครบถ้วนตามตำราและได้สั่งไพร่พลกวดขันดูแลมิให้สิ่งปฏิกูลใดๆผ่านเข้ามาเป็นอันขาดทางฝ่ายพระรามพิเภกกราบทูลว่ากุมภกรรณไปประกอบพิธีลับหอกถ้าสำเร็จจะมีฤทธิ์ร้ายกาจนักและทูลว่าโดยอุปนิสัยของกุมภกรรณเป็นพญายักษ์ที่รักความสะอาดสิ่งที่จะทำลายพิธีได้คือให้พญาวานรหนุมานและพญาวานรองคตแปลงกายเป็นสุนัขเน่าและอีกาที่จิกกินซากลอยผ่านเข้าไปใกล้บริเวณพิธี

เมื่อกุมภกรรณได้กลิ่นก็จะประกอบพิธีต่อมิได้พญาวานรทั้งสองรับอาสาไปทำลายพิธีตามคำแนะนำของพญาภิเภกเมื่อกุมภกรรณเสียพิธีจึงยกทัพออกรบพระรามให้พระลักษณ์คุมกองทัพออกรบด้วยเหตุกุมภกรรณเป็นอุปราชมีศักดิ์เสมอพระลักษณ์ในการรบครั้งนี้พระลักษณ์เป็นฝ่ายเสียทีถูกหอกโมกขศักดิ์ปักพระอุระจนสลบลงกองทัพของกุมภกรรณจึงกลับเข้ากรุงลงกาอย่างฮึกเฮิมเมื่อพระลักษณ์ถูกหอกโมกขศักดิ์สลบลงหนุมานจะฉุดถอนอย่างไรก็ไม่สำเร็จ

หลังจากนั้นหนุมานจึงเหาะไปที่เขาสรรพยาหรือภูลังกาในปัจจุบัน (ซึ่งสอดคล้องกับการสำรวจของนักวิจัยทางพฤกษศาสตร์พบว่าภูลังกาเป็นแหล่งกำเนิดสมุนไพรที่หายากและพบมากที่สุดในแถบนี้) อุทยานแห่งชาติภูลังกาเป็นสวรรค์ของนักวิจัยนักพฤษศาสตร์และนักธรณีวิทยาเป็นจุดบรรจบของเขตพฤกษภูมิศาสตร์ถึง 3 เขตเข้ามาซ้อนทับกันได้แก่ 1.เขตพฤกษภูมิศาสตร์ย่อย (Thailandian floristic province) 2.เขตภูมิศาสตร์ย่อยแบบอินโดจีนตอนบน (north Indochinese floristic province) ที่อยู่ด้านเหนือสภาพอากาศเย็นและชุ่มชื้น และ 3.เขตพฤกษภูมิศาสตร์ย่อยแบบอันนัม (Annamese floristic province)

ภูลังกามีทั้งพืชถิ่นเดียวและพืชหายากของไทยหลายชนิดพบขึ้นเฉพาะในอุทยานแห่งชาติภูลังกาด้วยชัยภูมิที่สำคัญของภูลังกาพรรณพฤกษชาติในบริเวณนี้จึงมีความหลากหลายของพืชพรรณสูงและปรากฏชนิดพันธุ์ที่สำคัญและหายากของประเทศไทยหรือมีเพียงแห่งเดียวในโลกจำนวนมากเมื่อเทียบกับขนาดผืนป่าอันน้อยนิดอุทยานแห่งชาติภูลังกามีพืชถิ่นเดียว (endemic) ที่สำคัญคือโสมภูลังกา,เสี้ยวภูลังกาและสิรินธรวัลลีนอกจากนั้นยังพบพืชชนิดใหม่ของโลก (New species) เช่นเครือเศวตภูลังกาเสี้ยวภูลังกาและประดับหินอาจารย์เต็มจึงเป็นพื้นที่ที่สำคัญยิ่งต่อการศึกษาด้านพฤกษศาสตร์และการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชของประเทศไทย

เมื่อพบสังกรณีตรีชวาแล้วหนุมานก็ได้เนรมิตให้หางยาวใหญ่โอบรัดเอาภูลังกาเพื่อไปรักษาพระลักษณ์เมื่อหนุมานดึงเอาภูลังกาออกไปจึงเกิดเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ซึ่งในปัจจุบันคือบึงโขงหลงจ.บึงกาฬหลังจากได้ยารักษาพระลักษณ์แล้วหนุมานจึงได้นำเอาภูลังกากลับมาคืนแต่เนื่องจากหนุมานเป็นลิงพฤติกรรมจึงซุกซนก็เลยใช้หางเหวี่ยงภูลังกาลงมาแต่ไม่ตรงกับจุดเดิมจึงเกิดเป็นภูลังกาในปัจจุบันซึ่งอยู่ใกล้กับบึงโขงหลงและหากเปรียบเทียบพื้นที่ของบึงโขงหลงและภูลังกาจะมีขนาดเท่ากันพอดี

เมื่อหนุมานได้ต้นสังกรณีตรีชวาแล้วต่อจากนั้นก็ไปขอน้ำปัญจมหานทีจากพระพรต (อนุชาของพระราม)มาถวายพระรามเมื่อได้ยาและน้ำมาแล้วพระรามให้พิเภกทำพิธีบดยาเสกเป่าแล้วทาลงที่แผลสักครู่หอกก็เคลื่อนหลุดจากอกพระลักษมณ์โดยไม่มีบาดแผลปรากฏให้เห็นพระรามพระลักษณ์พร้อมกองทัพก็กลับคืนสู่พลับพลา


ข้อมูลนี้ได้จากทางเพจ อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม - Phulangka National Park Thailand ซึ่งทางเพจได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "ประวัติหรือตำนานที่เขียนมานี้อาจจะคาดเคลื่อนไปบ้าง หรือว่าไม่ตรงกับที่ท่านศึกษามา ต้องขอสมาอภัยไว้ด้วยนะคะ มีอันหนึ่งอันใดที่จะเสริม ติชม ตำหนิได้เลยค่ะ รับฟังทุกคำพูดทุกเหตุผล"




กำลังโหลดความคิดเห็น