เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเยี่ยมชมมาเป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้วสำหรับ “ถ้ำนาคา” แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของอุทยานแห่งชาติภูลังกา พื้นที่อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ หลังจากมีกระแสกล่าวขวัญถึงความแปลกมหัศจรรย์ของก้อนหินใหญ่ในบริเวณถ้ำที่มีพื้นผิวคล้ายเกล็ดงูยักษ์ จนเป็นที่มาของชื่อถ้ำนาคา โดยถ้ำแห่งนี้ถูกค้นพบระหว่างที่โรคโควิด-19 กำลังระบาด ทางอุทยานฯ จึงยังคงห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไป
จนเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้เข้าไปท่องเที่ยวกันอีกครั้ง รวมถึงอุทยานแห่งชาติภูลังกา นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่อยากชมถ้ำนาคาด้วยสายตาของตนเองจึงมุ่งหน้ามามาเยือนภูลังกากันเป็นจำนวนมาก โดยได้อุทยานฯ เปิดให้จองคิวเข้าเที่ยวชมถ้ำนาคาในแต่ละวันด้วยการจองผ่านทางแอพลิเคชั่นไลน์ โดยจำกัดจำนวนวันละ 50 คน
“ตะลอนเที่ยว” ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ตั้งใจเดินทางมาชมความมหัศจรรย์ของถ้ำนาคาด้วยตาตนเองเช่นกัน โดยได้เดินทางมาเยือนช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นอุทยานฯ เปิดให้ใช้เส้นทางเดินขึ้นสู่ถ้ำนาคาได้จากบริเวณวัดถ้ำชัยมงคล ซึ่งเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดแต่เหน็ดเหนื่อยมากเพราะเป็นบันไดเหล็กนับพันขั้นที่มีความชันมาก
แต่ปัจจุบันทางอุทยานฯ ได้ประกาศปิดเส้นทางดังกล่าวชั่วคราว แต่ให้เดินขึ้นจากบริเวณน้ำตกตาดวิมานทิพย์ (แบบไม่ผ่านน้ำตก) แทน โดยในเส้นทางนี้มีระยะทาง 2 ก.ม. ใช้เวลาเดินประมาณ 1-2 ช.ม. สภาพเส้นทางเป็นทางเดินธรรมชาติ มีบันไดน้อย เส้นทางอยู่ห่างจากขอบหน้าผา
ในวันที่ “ตะลอนเที่ยว” ไปเยือนนั้น แม้ทางอุทยานฯ จะเปิดให้จองออนไลน์เที่ยวถ้ำนาคาเพียง 50 คน แต่จำนวนคนที่ให้ขึ้นจริงนั้นกว่า 500 คน เพราะมีคนอยากขึ้นไปชมเป็นจำนวนมากแต่บางคนก็ไม่ทราบช่องทางการจอง แต่ก็จำกัดจำนวนไว้ไม่ให้เกิน 500 คน ดังนั้นหากใครมาช้าหรือมาช่วงบ่ายก็อาจไม่ได้ขึ้น แต่ถ้าจองออนไลน์มาก่อนก็ได้ขึ้นไปเที่ยวแน่นอน
สำหรับถ้ำนาคานี้ อยู่ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติถ้ำนาคา-น้ำตกตาดวิมานทิพย์ มีจุดท่องเที่ยวอยู่หลายจุดด้วยกันในระหว่างเส้นทาง แต่จุดหมายหลักที่ทุกคนต่างมุ่งหน้ามาชมก็คือ “ถ้ำนาคา” ถ้ำขนาดเล็กที่มีลักษณะคล้ายถ้ำเขาวงกตไม่มีหลังคาถ้ำ โดยแต่ละคนจะต้องเดินลงเนินผ่านช่องหินแคบๆ เพื่อเข้าไปสู่ตัวถ้ำ และความที่ถ้ำค่อนข้างคับแคบ เจ้าหน้าที่จึงให้นักท่องเที่ยวทยอยเข้าไปชมเป็นกลุ่มๆ
เมื่อผ่านช่องหินเข้าไปแล้ว ก็จะได้พบกับความมหัศจรรย์ของหินที่มีรอยแตกบนพื้นผิวลักษณะคล้ายเกล็ดงูใหญ่ อีกทั้งก้อนหินยังมีรอยโค้งเว้าทำให้ดูเหมือนขนดงูที่นอนขดอยู่จริงๆ ซึ่งความมหัศจรรย์ดังกล่าวอธิบายได้ในทางธรณีวิทยาว่า ตัวถ้ำนาคาหรือส่วนที่เป็นลำตัวพญานาคนั้น เกิดจากการยกตัวของแผ่นดิน (Tectonic uplift) ในภาคอีสาน ทำให้เกิด “รอยเว้าผนังถ้ำ (cave notch)” ที่มีลักษณะโค้งนูนออกมา และคั่นสลับด้วยผนังหินที่โค้งเว้าเข้าไป จากนั้นเกิดการกัดเซาะที่เป็นวัฏจักร (Cyclic Erosion) ในยุคน้ำแข็งสลับกับยุคโลกร้อนที่เกิดเป็นวงรอบประมาณทุกๆ 1 แสนปี
ส่วนหินที่ดูคล้ายเกล็ดพญานาคเกิดจากการขยายตัวและหดตัวของผิวหน้าของหิน ซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า “ซันแครก” (Sun Cracks) โดยจะเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรสลับปรับเปลี่ยนระหว่างความร้อนจากแสงแดดในช่วงกลางวันกับความเย็นในช่วงกลางคืน กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาที่ยาวนานนับแสนปีหรือนานกว่านั้น จนพื้นผิวของหินแตกเป็นลายคล้ายเกล็ดพญานาค
แม้จะพอเข้าใจถึงกระบวนการของทางธรณีวิทยาแล้ว แต่เมื่อได้เห็นหินเกล็ดพญานาคใกล้ๆ ก็ยังชวนให้ทึ่งกับฝีมือธรรมชาติที่สร้างสรรค์ให้ก้อนหินนี้ช่างดูเหมือนงูใหญ่อย่างน่าขนลุก
ภายในถ้ำไม่มีซอกมุมซับซ้อน ไม่สามารถเดินทะลุได้ ต้องวนกลับมาออกทางเดิม แต่นักท่องเที่ยวแต่ละคนก็อาจใช้เวลานานสักนิดในการพินิจพิจารณาและหามุมถ่ายรูปในถ้ำ แต่ภายนอกถ้ำนั้นยังมีจุดท่องเที่ยวและถ่ายรูปอีกมากให้เราไปชมกัน โดยเฉพาะ “หินหัวงู” ที่หลายคนต้องการจะไปชม
“หินหัวงู” ที่ใครๆ อาจนึกว่าอยู่ใกล้ๆ กับถ้ำนาคา แท้จริงแล้วอยู่ห่างออกไปอีกราว 700 เมตร โดยอยู่ใกล้กับ “ถ้ำหลวงปู่วัง” อันเคยเป็นที่จำพรรษาของครูบาวัง ฐิติสาโร พระป่านักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ศิษย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง โดยหินหัวงูนี้เป็นหินก้อนใหญ่หินที่แตกหล่นมาจากหน้าผา โดยบริเวณส่วนหัวมีลวดลายเป็นรอยแตกของผิวหน้าของหินแบบซันแครกที่ดูคล้ายผิวหนังของงูยักษ์ไม่น้อยเลย เมื่อมาชมหินหัวงูแล้วก็อย่าลืมแวะไหว้พระกันที่บริเวณถ้ำหลวงปู่วังกัน
นอกจากนั้นก็ยังมีจุดน่าเที่ยวชมอีกหลายจุด อาทิ “เจดีย์หลวงปู่วัง” เจดีย์ขนาดเล็กที่บรรจุอัฐิธาตุของหลวงปู่วัง ฐิติสาโร ซึ่งมรณภาพไปตั้งแต่ พ.ศ.2496 องค์เจดีย์ตั้งอยู่บนลานหินทรายขนาดใหญ่ มีบันไดสูงให้เดินขึ้นไปกราบสักการะ
อีกทั้งยังมี “เจดีย์หลวงปู่เสาร์” ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่วัง อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับ “ผาใจขาด” หน้าผาสูงชันที่เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์โดยรอบ โดยเป็นจุดชมวิวดูพระอาทิตย์ตกมองเห็นบึงโขงหลงได้อย่างงดงาม และไกลออกไปอีกราว 2 ก.ม. ก็ยังมี "เจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์" หรือพระธาตุภูลังกา ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของภูลังกาอีกด้วย
บนเส้นทางศึกษาธรรมชาติถ้ำนาคา-น้ำตกตาดวิมานทิพย์นี้หากจะเดินชมให้ครบทุกจุดก็จะใช้เวลาราว2-3 ชั่วโมง (ไม่รวมเวลาเดินขึ้นและเดินไปเจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์) ) หรืออาจนานกว่านั้นหากรวมเวลาถ่ายรูป นักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมตัวเตรียมรองเท้าเดินและอุปกรณ์กันแดดกันฝนมาให้พร้อม รวมถึงต้องเตรียมน้ำดื่มและเสบียงรองท้องใส่เป้มาเอง นอกจากนั้นแล้วก็เตรียมใจมาชมความมหัศจรรย์และความสวยงามของธรรมชาติบนภูลังกาที่ “ถ้ำนาคา” แห่งนี้ด้วยกัน
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ทึ่ง! “ถ้ำนาคา” บึงกาฬ มีทั้งส่วนหัว-ลำตัวพญานาค ข้อมูลใหม่เชื่อมโยงถึงโลกยุคน้ำแข็ง
อยากเที่ยวถ้ำนาคาต้องอ่าน! รับ นทท.เพียง 50 คน/วัน แอดไลน์จองตรงกับอุทยานฯภูลังกา
......................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR