ฤดูฝนเวียนมาอีกครั้ง นำพาเอาความชุ่มฉ่ำและเขียวขจีมาสู่ผืนดิน ช่วงเวลานี้เองที่เป็นเวลาเหมาะที่จะไปเที่ยว "พิษณุโลก" กัน เพราะในช่วงฤดูฝนนี้เป็นเวลาที่ดอกไม้ป่าบนลานหินภูหินร่องกล้าจะเบ่งบาน สายน้ำเข็กจะเต็มปริ่มเหมาะแก่การล่องแก่ง และทุ่งนาแห่งเนินมะปรางจะเขียวขจี
เริ่มต้นทริปนี้ด้วยการเดินทางมายัง "ภูหินร่องกล้า" อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ที่แต่เดิมเคยถูกใช้เป็นฐานที่มั่นสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ช่วงที่มีการสู้รบจากความคิดต่างทางการเมืองเมื่อราว 40 ปีที่แล้ว
ที่นี่นอกจากมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ พคท. แล้ว ก็ยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่มีความสวยงามแปลกตาของธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนที่ไหนให้สัมผัส และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าฝนนี้ ดอกไม้ป่าที่ภูหินร่องกล้าก็จะเบ่งบานอวดโฉมน่ารักๆ ไปตลอดเส้นทาง
เราเริ่มออกเดินในเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีระยะทางรวมทั้งหมด 3,276 เมตร ผ่านก้อนหินรูปร่างๆ แปลก ไม่ว่าจะเป็น “ผาหินกบ” ก้อนหินใหญ่มองดูคล้ายกบเกาะอยู่บนหิน “ผาหัวใจหิน” รูปร่างคล้ายหัวใจ และ “ผานาคราช” เป็นต้น
ระหว่างทางนี้ก็จะเห็นดอกไม้ป่ามาเป็นระยะๆ อาทิ “ดอกเปราะภู” ดอกไม้สีขาวกลีบบางขึ้นอยู่เป็นดงตามพื้นดิน “ลิ้นมังกร” สีส้มสดเด่นอยู่ตามพื้นดิน “ตาเหินไหว” ออกดอกสีขาวชูช่อเป็นริ้วพลิ้วไหวตามลม ขึ้นอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ “ดอกหงส์เหิน” ที่ดูคล้ายกับหงส์สีส้มน่ารัก ซึ่งดอกไม้ป่าเหล่านี้กำลังเริ่มบาน และจะบานเพิ่มมากขึ้นยาวไปจนถึงช่วงปลายฝนต้นหนาว ราวเดือนตุลาคม
และเมื่อเดินเท้าต่อเข้ามาอีกจะพบกับไฮไลต์สำคัญคือ “ลานหินปุ่ม” มีลักษณะเป็นลานหินขนาดย่อมริมหน้าผา ลานหินมีรอยตะปุ่มตะป่ำของหินที่ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด สันนิษฐานว่าเกิดจากการโก่งตัวของเปลือกโลก แล้วเกิดการสึกกร่อนพร้อมถูกลมฝนกระทำขัดเกลา จนเกิดเปนลานหินปุ่มขึ้น บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวความเขียวขจีของผืนป่าเบื้องล่างได้เป็นอย่างดี แต่ในบางครั้งอาจมีหมอกพัดพามาปกคลุม ก็มองดูสวยงามไปอีกแบบ
ถัดจากลานหินปุ่มมาก็จะถึง “ผาชูธง” หน้าผาสูงที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงามกว้างไกล ผาชูธงในอดีตเคยเป็นจุดชูธงของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เมื่อรบชนะทหารไทยจะขึ้นไปชูธงแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ส่วนปัจจุบันบนผามีธงชาติไทยปักอยู่ สามารถขึ้นไปชมวิวด้านบนได้
มาถึงผาชูธงก็ถือได้ว่าเกินครึ่งทางมาแล้ว เดินต่อไปอีกจะพบ “ซันแครก” หินรูปร่างแปลกที่ดูคล้ายหมอนกหินวางซ้อนกัน ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างรวดเร็วและการกัดเซาะของน้ำและอากาศ และไม่ไกลกันคือ “สำนักอำนาจรัฐ” ซึ่งคล้ายกับที่ทำการของ พคท. โดยบริเวณนี้จะมีผาหินซึ่งมี “ใบบีโกเนีย” ที่กำลังผลิใบสีออกแดงสวยสดใส คนรักไม้ใบจะต้องชอบ
อีกหนึ่งกิจกรรมยามหน้าฝนในพิษณุโลกที่ไม่ควรพลาดเลยจริงๆ ก็คือการ ซึ่งเป็นกิจกรรมขึ้นชื่อใน อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ในช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคมของทุกๆ ปี โดยปกติแล้วลำน้ำเข็กจะเป็นสีขาวใสในช่วงหน้าแล้ง แต่จะเปลี่ยนเป็นสายน้ำสีน้ำตาลแดงไหลเชี่ยวกรากมากไปด้วยแก่งต่างๆ ในช่วงหน้าน้ำ ทำให้มีปริมาณสายน้ำที่เหมาะสมกับกิจกรรมล่องแก่ง โดยที่นี่ถือว่าติด 1 ใน 5 จุดล่องแก่งที่ดีที่สุดในเมืองไทย
จุดเด่นของการล่องแก่งน้ำเข็กอย่างหนึ่งคือการเข้าถึงสะดวก ไม่ต้องเดินเท้าเข้าป่าแบกเรือยางให้เหนื่อย เพราะลำน้ำเข็กจะไหลขนานไปกับถนนหมายเลข 12 และสองฟากฝั่งยังมีทัศนียภาพของธรรมชาติที่สวยงาม และมีความปลอดภัยสูง เพราะมีการดูแลตลอดกิจกรรมโดยนายหัวและนายท้ายที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการล่องแก่งมาอย่างดี และนักท่องเที่ยวที่มาล่องแก่งจะต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันภัย เสื้อชูชีพ หมวกนิรภัย เพื่อช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ และต้องรับฟังคำสั่งของนายหัวและนายท้ายอย่างเคร่งครัด
และจุดเด่นสำคัญคือแก่งที่นี่มีความมันครบตั้งแต่ระดับ 1-5 จากน้ำนิ่งไปจนถึงน้ำไหลเชี่ยวกราก โดยเส้นทางล่องเรือยางมีระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับกระแสน้ำ) โดยเรือจะล่องไปยังบริเวณตอนบนของน้ำตกแก่งซอง ผจญฝ่าแก่งต่างๆ จำนวน 15 แก่ง
แต่ละแก่งอยู่ไม่ไกลกันมีระยะให้พัก ให้ชมวิว และให้ลุยแบบไม่ทิ้งช่วงนานเกินไปจนรู้สึกเบื่อ อีกทั้งยังมีสภาพแก่งที่หลากหลายครบเครื่อง ทั้งแก่งต่างระดับ แก่งคดเคี้ยวหักเลี้ยวเป็นตัว S แก่งไล่ระดับเป็นชั้นๆ ดังขั้นบันได เป็นต้น นั่นจึงทำให้น้ำเข็กได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสายน้ำที่ขึ้นชื่อในเรื่องกิจกรรมล่องแก่ง ติดอันดับ 1 ใน 5 ของเมืองไทย
การมาล่องแก่งควรมาในช่วงเช้าราว 8-9 โมงเพื่อไม่ให้ร้อนจนเกินไป จะให้ดีก็ควรใช้เวลาสบายๆ สัก 2 วัน 1 คืน ซึ่งบอกได้เลยว่าช่วงนี้โรงแรมต่างๆ ในอำเภอวังทองใกล้กับจุดล่องแก่งนั้นต่างก็มีโปรโมชันดีๆ ทั้งราคาห้องพักและแพ็คเกจล่องแก่งเตรียมรอรับนักท่องเที่ยวกันเต็มไปหมด ใครมาเที่ยวตอนนี้ถือว่าได้เปรียบมากทั้งเรื่องแหล่งท่องเที่ยวและเรื่องราคา
อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่เราได้มาชมคือ "บ้านผารังหมี" ตำบลไทรย้อย อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ที่เริ่มมีชื่อเสียงตามหลังชุมชนท่องเที่ยวรุ่นพี่อย่าง “บ้านมุง” มาติดๆ ซึ่งทั้งสองหมู่บ้านนี้อยู่ไม่ไกลกัน โดยบ้านผารังหมีได้ชื่อมาจากในอดีตเคยมีพรานล่าสัตว์เห็นหลังหมีแวบๆ ไม่ไกลจากหมู่บ้าน จึงเรียกชื่อหมู่บ้านว่าผาหลังหมี แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็น “ผารังหมี” เพราะมีความหมายที่ดีและอบอุ่นกว่า
ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ชุมชนที่มีทั้งฐานการเรียนรู้ภูมิปัญญาเกี่ยวกับการทอผ้า ทอเสื่อกก การทำกล้วยฉาบ ฯลฯ แต่ถ้าใครอยากจะมาเยี่ยมเยือนไหว้พระหรือชมวิวสวยๆ ในหมู่บ้านเพียงอย่างเดียวก็ได้ โดยจุดท่องเที่ยวโดดเด่นในหมู่บ้านคือ “วัดผารังหมีวนาราม” ที่มีถ้ำพระนอนซึ่งภายในประดิษฐานหลวงพ่อเพชรมณี พระพุทธรูปนอนองค์ใหญ่ที่สุดของอำเภอเนินมะปราง สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2517 โดยฝีมือช่างชาวบ้าน เราเข้าไปกราบขอพรจากท่านภายในถ้ำที่เงียบสงบ
จากนั้นออกแรงเดินบันไดขึ้นเขากันหน่อย เป็นบันไดพญานาคที่แสนงดงาม สร้างเป็นเส้นทางขึ้นไปกราบสักการะ “หลวงพ่อขาว” หรือ "สมเด็จองค์ปฐม" ที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้าง ไหว้พระเสร็จแล้วลองมองไปรอบๆ จะเห็นทิวทัศน์กว้างไกลของบ้านผารังหมี มองเห็นทุ่งนาเขียวขจีสุดสายตา ไกลออกไปเป็นภูเขาหินปูนรูปร่างต่างๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง เป็นความเขียวขจีที่งดงามลงตัวอย่างยิ่ง
และหากอยากลงไปสัมผัสกับทุ่งนาใกล้ๆ ก็มีจุดชมวิวภายในหมู่บ้าน เป็นทุ่งนากว้างไกลที่มีฉากหลังเป็นภูเขา ถ่ายรูปนาข้าวเขียวๆ ที่ชาวบ้านผารังหมีภาคภูมิใจว่าเป็นสินค้าเกษตรที่เป็นรายได้หลักของหมู่บ้าน สูดอากาศสดชื่นและรับลมเย็นๆ ที่พัดมาพร้อมกลิ่นข้าวหอมๆ
ก่อนจะลาจากเมืองพิษณุโลก เราไปกราบสักการะ “พระพุทธชินราช” พระคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกที่ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลวงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าวัดใหญ่ เพื่อความเป็นสิริมงคล ที่ในวันนี้มีการจัดการเว้นระยะห่างระหว่างกันภายในพระวิหาร ผู้คนก็ไม่หนาแน่นเท่าที่เคย รวมถึงมีการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าไปกราบพระด้วย
อีกทั้งขอแนะนำว่าอย่าลืมไปกราบสักการะสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ “พระราชวังจันทน์” ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลสมเด็จพระนเรศวรฯ ภายในมีพระบรมรูปของพระองค์ขนาดเท่าองค์จริงในอิริยาบถประทับนั่งทรงหลั่งทักสิโนทกประกาศอิสรภาพ โดยพระราชวังจันทน์แห่งนี้เป็นสถานที่ประสูติและที่ประทับของพระองค์ ซึ่งปัจจุบันเหลือให้เห็นเพียงฐานรากของอาคารเท่านั้น และใกล้ๆ กันยังมีพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระนเรศวรฯ จัดแสดงพระราชประวัติของพระองค์อีกด้วย
ผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลท่องเที่ยว ที่กิน ที่พักในจังหวัดพิษณุโลก สามารถสอบถามได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พิษณุโลก ดูแลจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ โทร. 0-5525-2742 ถึง 3 หรือแฟนเพจเฟซบุค : ททท.สำนักงานพิษณุโลก
.......................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR