Youtube :Travel MGR
กองทัพเรือ ร่วมกับ มูลนิธิ ฯ พระราชวังเดิม เปิดให้เที่ยวชมโบราณสถานในพระราชวังเดิม ฟรี ตั้งแต่วันที่ 14-28 ธ.ค. 62 เนื่องในโอกาสวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ผู้สนใจไม่ควรพลาด เพราะหนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียวที่เปิดให้เข้าชมฟรี โดยไม่ต้องทำหนังสือขออนุญาตล่วงหน้า
เนื่องในโอกาสวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 28 ธันวาคม กองบัญชาการกองทัพเรือ และมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม จะเปิด “พระราชวังเดิม” ให้ประชาชนทั่วไปเข้าถวายสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และเที่ยวชมโบราณสถานภายในพระราชวังเดิม ฟรี โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า ตั้งแต่วันที่ 14-28 ธ.ค. 62 ตั้งแต่เวลา 09.00-15.30 น.
“พระราชวังเดิม” หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “พระราชวังกรุงธนบุรี” เป็นพระราชวังหลวงเพียงแห่งเดียวของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ ในพื้นที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของ ป้อมวิไชยเยนทร์ที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงโปรดฯ ให้สร้างพระราชวังเดิมขึ้น ภายหลังจากที่ทรงกอบกู้เอกราชให้แก่ชาติไทยเมื่อปี พ.ศ.2310 เพื่อใช้เป็นที่ประทับและว่าราชการเมื่อทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีพร้อมกับปรับปรุงป้อมวิไชยเยนทร์และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ป้อมวิไชยประสิทธิ์”
โดยตำแหน่งที่ตั้งของพระราชวังหลวงแห่งนี้ ในสมัยนั้นมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากมีป้อมปราการที่มั่นคง สามารถสังเกตการณ์ได้ในระยะไกล อีกทั้งยังใกล้กับเส้นทางคมนาคมและเส้นทางการเดินทัพที่สำคัญ
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ฝั่งพระนคร พระองค์ทรงสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นเป็นที่ประทับ พระราชวังแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “พระราชวังเดิม”
ปี พ.ศ. 2449 ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ พระองค์ทรงพระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ ตามคำกราบบังคมทูลขอพระราชทานจากนายพลเรือตรี พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (พระยศในขณะนั้น)
ต่อมาหลังจากโรงเรียนนายเรือย้ายออกไปอยู่สัตหีบ และย้ายมาอยู่ที่สมุทรปราการ กองทัพเรือจึงได้ใช้พระราชวังเดิมแห่งนี้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพเรือ
สำหรับสิ่งน่าสนใจในพระราชวังเดิม ประกอบด้วย 9 จุดไฮไลท์ ได้แก่
1.พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระบรมรูปในท่าประทับยืนและทรงพระแสงดาบขนาดเท่าคนจริง อีกทั้งด้านหน้าพระราชวังเดิมติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ในท่าประทับยืนหันหน้าไปทางทิศที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยา มือซ้ายถือพระแสงดาบ ส่วนมือขวาชี้ลงพื้นดิน
2.ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อครั้ง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จมาประทับ ณ พระราชวังเดิมราวปี พ.ศ.2424 - 2443 ได้มีพระดำริให้สร้างแทนศาลหลังเดิมที่ชำรุดทรุดโทรม
3.อาคารท้องพระโรง เป็นอาคารประธานของพระราชวังเดิม มีลักษณะเป็นอาคารทรงไทย ตรีมุข วัสดุมุงหลังคาเป็นกระเบื้องดินเผาสีส้มชนิดหางเหลี่ยมไม่เคลือบสี ด้านจั่วประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์และนาคสะดุ้ง สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2310 พร้อมกับการสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี
อาคารท้องพระโรงประกอบไปด้วย พระที่นั่งสององค์เชื่อมต่อกัน คือ พระที่นั่งองค์ทิศเหนือ เรียกว่าท้องพระโรง ใช้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ขณะเสด็จออกว่าราชการ ส่วนพระที่นั่งองค์ทิศใต้ที่อยู่ติดกับพระที่นั่งองค์แรก เรียกกันว่า “พระที่นั่งขวาง” เป็นส่วนราชมณเฑียร หรือพระราชฐานชั้นกลางอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์
4.อาคารตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระอิศริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ในระหว่างปี พ.ศ.2367 - 2394 โดยคงจะมีพระดำริให้สร้างขึ้นพร้อมกับการปรับปรุงอาคารตำหนักเก๋งคู่หลังเล็กที่มีมาแต่เดิม
อาคารตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่ มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่าง ไทยกับจีน หลังคาทรงจั่วแบบจีน ภายในอาคารมีพระทวารและพระแกลแบบไทย ส่วนหลังคามีการเขียนลวดลายจีนแบบปูนเปียก บริเวณหน้าจั่วและคอสองโดยรอบอาคาร สำหรับบริเวณกรอบเช็ดหน้า มีการจำหลักลวดลายเป็นรูปฐานสิงห์ อันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกฐานานุศักดิ์ของอาคารที่ใช้เป็นที่ประทับของเจ้านายเท่านั้น
5.อาคารเก๋งคู่หลังเล็ก สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1- 2 เนื่องจากรากฐานของอาคารอยู่ในระดับชั้นดินของยุคดังกล่าว รูปแบบของอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงประตูหน้าต่างให้เข้ากับสภาพอากาศในสมัยหลัง
6.อาคารตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างขึ้นเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระอิศริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ราวปี พ.ศ.2367 - 2394 ลักษณะอาคารเป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบตะวันตกหรือเรียกว่าตึกแบบอเมริกัน
ทั้งนี้หากพิจารณาทางด้านประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมอาจถือได้ว่าอาคารนี้เป็นตำหนักแบบตะวันตกหลังแรกที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยอาจเป็นตึกก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยา มีหน้าจั่วปีกนก 2 ด้าน ส่วนประกอบต่าง ๆ ของอาคารที่เป็นไม้ ทาด้วยสีเขียวแก่ทั้งหมด อันเป็นสีที่นิยมใช้สำหรับตำหนักหรืออาคารในสมัยนั้น
7.พระตำหนักเรือนเขียว อาคารไม้เรือนขนมปังขิงสีเขียวอ่อน ตั้งอยู่ข้างเนินดินที่ถูกเรียกขานว่า “เขาดิน” พระตำหนักเรือนเขียว เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูงจำนวน 2 หลัง ที่นี่เคยใช้เป็นอาคารพยาบาลของโรงเรียนนายเรือ ปัจจุบันใช้รับแขกและชมวีดีทัศน์
8.ศาลศีรษะปลาวาฬ ในระหว่างการขุดพื้นที่ระหว่างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและพระตำหนักเก๋งคู่ ได้พบฐานอาคารทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งจากการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดี คาดว่าน่าจะเป็นอาคารศาลศีรษะปลาวาฬหลังเดิม ที่ภายในมีประดูกปลาวาฬ โดยศาลหลังนี้ได้พังทลายในวันเดียวกับที่ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ สิ้นพระชนม์ แล้วไม่ได้มีการสร้างขึ้นมาใหม่ จึงได้มีการสร้างขึ้นทดแทนมาในภายหลัง
9. ป้อมวิไชยประสิทธิ์ เดิมแห่งนี้ชื่อ “ป้อมวิไชยเยนทร์” หรือ “ป้อมบางกอก” สร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์กราบบังคมทูลแนะนำให้สร้างขึ้นพร้อมป้อมทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนา กรุงธนบุรีเป็นราชธานีได้ทรงสร้างพระราชวังในบริเวณป้อมแห่งนี้พร้อมกับปรับปรุงป้อม และพระราชทานนามใหม่ว่า “ป้อมวิไชยประสิทธิ์”
ปัจจุบันป้อมวิไชยประสิทธิ์ใช้เป็นที่ยิงสลุตในพิธีสำคัญต่าง ๆ และติดตั้งเสาธงเพื่อประดับธงราชนาวี และธงผู้บัญชาการทหารเรือ
และนี่ก็คือ 9 ไฮไลท์ห้ามพลาดสำหรับผู้มาเที่ยวชมพระราชวังเดิม ซึ่งปกติการเที่ยวชมโบราณสถานในพระราชวังเดิม จะต้องติดต่อมาล่วงหน้าเพื่อขอเข้าชมเป็นหมู่คณะ แต่เนื่องในโอกาสวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 28 ธันวาคม จึงมีการเปิดพระราชวังเดิมให้เที่ยวชมฟรี โดยไม่ต้องทำหนังสือขออนุญาตล่วงหน้า นับเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่สนใจไม่น้อยเลย
....................................................................................................
14-28 ธ.ค. 62 นี้ พระราชวังเดิมเปิดให้เที่ยวชมฟรี ตั้งแต่เวลา 09.00-15.30 น. (ถ้าบุคคลใดอยู่ภายในพระราชวังเดิม สามารถอยู่ได้จนถึงเวลา 16.00 น. แต่ถ้ามาในช่วงเวลา 15.20 หรือเกือบสามโมงครึ่ง กองทัพเรือจะไม่อนุญาตเข้าบริเวณพระราชวังเดิม)
ปกติการเที่ยวชมโบราณสถานในพระราชวังเดิม จะต้องติดต่อมาล่วงหน้าเพื่อขอเข้าชมเป็นหมู่คณะ โดยจะต้องทำหนังสือขออนุญาตล่วงหน้า 1 -2 สัปดาห์ มีค่าธรรมเนียมบำรุงโบราณสถานภายในพระราชวังเดิม ผู้ใหญ่คนละ 100 บาท เด็กคนละ 50 บาท
สำหรับผู้ที่มาเที่ยวชมพระราชวังเดิมในวันที่ 14-28 ธ.ค.นี้ สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง คือด้านหน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ และ ประตูด้านข้างกำแพงวัดอรุณ โดยไม่ต้องแลกบัตรผ่านเข้า-ออก
อย่างไรก็ดีทาง มูลนิธิ ฯ พระราชวังเดิม ได้แนะนำว่า ในวันธรรมดาไม่ควรนำรถยนต์ส่วนบุคคลมาจอดภายในพระราชวังเดิม เนื่องจากมีรถยนตร์ข้าราชการจอดเต็มบริเวณพื้นที่ ส่วนในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ สามารถนำรถยนต์ส่วนบุคคลมาจอดภายในกองบัญชาการกองทัพเรือได้
ผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม โทร. 0 2475 4117, และ 0 2472 7291 หรือดูที่เฟซบุค
มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม https://m.facebook.com/pg/wangdermpalace/about
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Travel MGR
กองทัพเรือ ร่วมกับ มูลนิธิ ฯ พระราชวังเดิม เปิดให้เที่ยวชมโบราณสถานในพระราชวังเดิม ฟรี ตั้งแต่วันที่ 14-28 ธ.ค. 62 เนื่องในโอกาสวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ผู้สนใจไม่ควรพลาด เพราะหนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียวที่เปิดให้เข้าชมฟรี โดยไม่ต้องทำหนังสือขออนุญาตล่วงหน้า
เนื่องในโอกาสวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 28 ธันวาคม กองบัญชาการกองทัพเรือ และมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม จะเปิด “พระราชวังเดิม” ให้ประชาชนทั่วไปเข้าถวายสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และเที่ยวชมโบราณสถานภายในพระราชวังเดิม ฟรี โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า ตั้งแต่วันที่ 14-28 ธ.ค. 62 ตั้งแต่เวลา 09.00-15.30 น.
“พระราชวังเดิม” หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “พระราชวังกรุงธนบุรี” เป็นพระราชวังหลวงเพียงแห่งเดียวของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ ในพื้นที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของ ป้อมวิไชยเยนทร์ที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงโปรดฯ ให้สร้างพระราชวังเดิมขึ้น ภายหลังจากที่ทรงกอบกู้เอกราชให้แก่ชาติไทยเมื่อปี พ.ศ.2310 เพื่อใช้เป็นที่ประทับและว่าราชการเมื่อทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีพร้อมกับปรับปรุงป้อมวิไชยเยนทร์และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ป้อมวิไชยประสิทธิ์”
โดยตำแหน่งที่ตั้งของพระราชวังหลวงแห่งนี้ ในสมัยนั้นมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากมีป้อมปราการที่มั่นคง สามารถสังเกตการณ์ได้ในระยะไกล อีกทั้งยังใกล้กับเส้นทางคมนาคมและเส้นทางการเดินทัพที่สำคัญ
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ฝั่งพระนคร พระองค์ทรงสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นเป็นที่ประทับ พระราชวังแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “พระราชวังเดิม”
ปี พ.ศ. 2449 ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ พระองค์ทรงพระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ ตามคำกราบบังคมทูลขอพระราชทานจากนายพลเรือตรี พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (พระยศในขณะนั้น)
ต่อมาหลังจากโรงเรียนนายเรือย้ายออกไปอยู่สัตหีบ และย้ายมาอยู่ที่สมุทรปราการ กองทัพเรือจึงได้ใช้พระราชวังเดิมแห่งนี้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพเรือ
สำหรับสิ่งน่าสนใจในพระราชวังเดิม ประกอบด้วย 9 จุดไฮไลท์ ได้แก่
1.พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระบรมรูปในท่าประทับยืนและทรงพระแสงดาบขนาดเท่าคนจริง อีกทั้งด้านหน้าพระราชวังเดิมติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ในท่าประทับยืนหันหน้าไปทางทิศที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยา มือซ้ายถือพระแสงดาบ ส่วนมือขวาชี้ลงพื้นดิน
2.ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อครั้ง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จมาประทับ ณ พระราชวังเดิมราวปี พ.ศ.2424 - 2443 ได้มีพระดำริให้สร้างแทนศาลหลังเดิมที่ชำรุดทรุดโทรม
3.อาคารท้องพระโรง เป็นอาคารประธานของพระราชวังเดิม มีลักษณะเป็นอาคารทรงไทย ตรีมุข วัสดุมุงหลังคาเป็นกระเบื้องดินเผาสีส้มชนิดหางเหลี่ยมไม่เคลือบสี ด้านจั่วประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์และนาคสะดุ้ง สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2310 พร้อมกับการสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี
อาคารท้องพระโรงประกอบไปด้วย พระที่นั่งสององค์เชื่อมต่อกัน คือ พระที่นั่งองค์ทิศเหนือ เรียกว่าท้องพระโรง ใช้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ขณะเสด็จออกว่าราชการ ส่วนพระที่นั่งองค์ทิศใต้ที่อยู่ติดกับพระที่นั่งองค์แรก เรียกกันว่า “พระที่นั่งขวาง” เป็นส่วนราชมณเฑียร หรือพระราชฐานชั้นกลางอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์
4.อาคารตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระอิศริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ในระหว่างปี พ.ศ.2367 - 2394 โดยคงจะมีพระดำริให้สร้างขึ้นพร้อมกับการปรับปรุงอาคารตำหนักเก๋งคู่หลังเล็กที่มีมาแต่เดิม
อาคารตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่ มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่าง ไทยกับจีน หลังคาทรงจั่วแบบจีน ภายในอาคารมีพระทวารและพระแกลแบบไทย ส่วนหลังคามีการเขียนลวดลายจีนแบบปูนเปียก บริเวณหน้าจั่วและคอสองโดยรอบอาคาร สำหรับบริเวณกรอบเช็ดหน้า มีการจำหลักลวดลายเป็นรูปฐานสิงห์ อันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกฐานานุศักดิ์ของอาคารที่ใช้เป็นที่ประทับของเจ้านายเท่านั้น
5.อาคารเก๋งคู่หลังเล็ก สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1- 2 เนื่องจากรากฐานของอาคารอยู่ในระดับชั้นดินของยุคดังกล่าว รูปแบบของอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงประตูหน้าต่างให้เข้ากับสภาพอากาศในสมัยหลัง
6.อาคารตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างขึ้นเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระอิศริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ราวปี พ.ศ.2367 - 2394 ลักษณะอาคารเป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบตะวันตกหรือเรียกว่าตึกแบบอเมริกัน
ทั้งนี้หากพิจารณาทางด้านประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมอาจถือได้ว่าอาคารนี้เป็นตำหนักแบบตะวันตกหลังแรกที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยอาจเป็นตึกก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยา มีหน้าจั่วปีกนก 2 ด้าน ส่วนประกอบต่าง ๆ ของอาคารที่เป็นไม้ ทาด้วยสีเขียวแก่ทั้งหมด อันเป็นสีที่นิยมใช้สำหรับตำหนักหรืออาคารในสมัยนั้น
7.พระตำหนักเรือนเขียว อาคารไม้เรือนขนมปังขิงสีเขียวอ่อน ตั้งอยู่ข้างเนินดินที่ถูกเรียกขานว่า “เขาดิน” พระตำหนักเรือนเขียว เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูงจำนวน 2 หลัง ที่นี่เคยใช้เป็นอาคารพยาบาลของโรงเรียนนายเรือ ปัจจุบันใช้รับแขกและชมวีดีทัศน์
8.ศาลศีรษะปลาวาฬ ในระหว่างการขุดพื้นที่ระหว่างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและพระตำหนักเก๋งคู่ ได้พบฐานอาคารทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งจากการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดี คาดว่าน่าจะเป็นอาคารศาลศีรษะปลาวาฬหลังเดิม ที่ภายในมีประดูกปลาวาฬ โดยศาลหลังนี้ได้พังทลายในวันเดียวกับที่ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ สิ้นพระชนม์ แล้วไม่ได้มีการสร้างขึ้นมาใหม่ จึงได้มีการสร้างขึ้นทดแทนมาในภายหลัง
9. ป้อมวิไชยประสิทธิ์ เดิมแห่งนี้ชื่อ “ป้อมวิไชยเยนทร์” หรือ “ป้อมบางกอก” สร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์กราบบังคมทูลแนะนำให้สร้างขึ้นพร้อมป้อมทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนา กรุงธนบุรีเป็นราชธานีได้ทรงสร้างพระราชวังในบริเวณป้อมแห่งนี้พร้อมกับปรับปรุงป้อม และพระราชทานนามใหม่ว่า “ป้อมวิไชยประสิทธิ์”
ปัจจุบันป้อมวิไชยประสิทธิ์ใช้เป็นที่ยิงสลุตในพิธีสำคัญต่าง ๆ และติดตั้งเสาธงเพื่อประดับธงราชนาวี และธงผู้บัญชาการทหารเรือ
และนี่ก็คือ 9 ไฮไลท์ห้ามพลาดสำหรับผู้มาเที่ยวชมพระราชวังเดิม ซึ่งปกติการเที่ยวชมโบราณสถานในพระราชวังเดิม จะต้องติดต่อมาล่วงหน้าเพื่อขอเข้าชมเป็นหมู่คณะ แต่เนื่องในโอกาสวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 28 ธันวาคม จึงมีการเปิดพระราชวังเดิมให้เที่ยวชมฟรี โดยไม่ต้องทำหนังสือขออนุญาตล่วงหน้า นับเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่สนใจไม่น้อยเลย
....................................................................................................
14-28 ธ.ค. 62 นี้ พระราชวังเดิมเปิดให้เที่ยวชมฟรี ตั้งแต่เวลา 09.00-15.30 น. (ถ้าบุคคลใดอยู่ภายในพระราชวังเดิม สามารถอยู่ได้จนถึงเวลา 16.00 น. แต่ถ้ามาในช่วงเวลา 15.20 หรือเกือบสามโมงครึ่ง กองทัพเรือจะไม่อนุญาตเข้าบริเวณพระราชวังเดิม)
ปกติการเที่ยวชมโบราณสถานในพระราชวังเดิม จะต้องติดต่อมาล่วงหน้าเพื่อขอเข้าชมเป็นหมู่คณะ โดยจะต้องทำหนังสือขออนุญาตล่วงหน้า 1 -2 สัปดาห์ มีค่าธรรมเนียมบำรุงโบราณสถานภายในพระราชวังเดิม ผู้ใหญ่คนละ 100 บาท เด็กคนละ 50 บาท
สำหรับผู้ที่มาเที่ยวชมพระราชวังเดิมในวันที่ 14-28 ธ.ค.นี้ สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง คือด้านหน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ และ ประตูด้านข้างกำแพงวัดอรุณ โดยไม่ต้องแลกบัตรผ่านเข้า-ออก
อย่างไรก็ดีทาง มูลนิธิ ฯ พระราชวังเดิม ได้แนะนำว่า ในวันธรรมดาไม่ควรนำรถยนต์ส่วนบุคคลมาจอดภายในพระราชวังเดิม เนื่องจากมีรถยนตร์ข้าราชการจอดเต็มบริเวณพื้นที่ ส่วนในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ สามารถนำรถยนต์ส่วนบุคคลมาจอดภายในกองบัญชาการกองทัพเรือได้
ผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม โทร. 0 2475 4117, และ 0 2472 7291 หรือดูที่เฟซบุค
มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม https://m.facebook.com/pg/wangdermpalace/about
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Travel MGR