พูดถึง “อุทัยธานี” ก็ต้องคิดถึงเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ ผู้คนดำรงวิถีเรียบง่ายแต่งดงาม แต่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอันหลากหลาย ทั้งมรดกโลก ธรรมชาติ ป่าไม้ ขุนเขาสายน้ำ ศิลปวัฒนธรรม วัดวาอาราม วิถีชีวิตอันทรงเสน่ห์ รวมถึงมีอาหารท้องถิ่นอร่อยเด็ดราคาย่อมเยาให้เลือกลองลิ้มชิมรสกันเป็นจำนวนมาก
มีหลายๆ อย่างที่น่าสนใจแบบนี้ อุทัยธานีจึงถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในเส้นทาง “ผู้หญิงท่องเที่ยวไทย” ของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ส่วนในเส้นทางนี้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนบ้าง ต้องตามมาดู
เริ่มที่แรกของวัน ต้องมาออกกำลังกายกันหน่อย มากันที่ “หุบป่าตาด” ซึ่งถูกยกให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ ด้วยความงดงามแปลกตาไม่เหมือนใคร
ที่หุบป่าตาดมีลักษณะเป็นป่าดึกดำบรรพ์ที่อุดมไปด้วย “ต้นตาด” หรือ “ต้นต๋าว” (Arenga pinrata) พืชตระกูลปาล์ม มีใบเป็นแฉกแผ่กว้างสยาย ชอบขึ้นในพื้นที่ป่าดงดิบที่มีอากาศเย็นชื้นสภาพหนาทึบ บรรยากาศในหุบป่าตาดก็เหมือนป่าโบราณที่ชวนให้นึกถึงหนังเกี่ยวกับไดโนเสาร์ต่างๆ ทางเข้าสู่หุบป่าตาดก็จะต้องเดินขึ้นด้านบน ผ่านป่าทึบไปเล็กน้อย ก่อนจะผ่านช่วงที่เป็นถ้ำ ซึ่งต้องอาศัยแสงจากไฟฉายมาช่วยนำทาง ก่อนจะเดินลงมาสู่หุบเขาที่เป็มไปด้วยต้นตาด และช่วงกลางหุบมีเวิ้งถ้ำเป็นช่องประตูขนาดใหญ่ที่สามารถเดินทะลุถึงกันได้
เดินหุบป่าตาดให้พอเหงื่อซึมๆ แล้วค่อยออกมาผ่อนคลายกันต่อที่ “น้ำพุร้อนสมอทอง” ซึ่งเดิมนั้นเป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติ ผุดขึ้นมาจากผิวดินหลายจุด แต่หลังจากมีการสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้ว ก็มีการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นจุดท่องเที่ยวแหละแหล่งพักผ่อนของชาวบ้าน
ปัจจุบัน มีการจัดทำเป็นบ่อน้ำร้อนให้แช่เท้า มีบริการห้องอาบน้ำแร่ มีบ่อน้ำแร่ที่สามารถลงไปแช่พร้อมกับชมวิวของอ่างเก็บน้ำได้ด้วย
ผ่อนคลายหายเมื่อยแล้ว ก็ขาดกิจกรรมสำคัญของการท่องเที่ยวไม่ได้ นั่นคือการช้อปปิ้ง ซึ่งถ้าใครอยากได้ผ้าทอสวยๆ กลับบ้าน ต้องมาที่นี่เลย “ศูนย์ผ้าทอลายโบราณบ้านผาทั่ง” ที่นี่รวบรวมผ้าทอสวยๆ ไว้ให้เลือกซื้อหามากมาย
โดยที่บ้านผาทั่ง มีการรวมกลุ่มกันขึ้นมาเพื่ออนุรักษ์ศิลปะการทอผ้าแบบโบราณ ตั้งแต่ความละเอียดอ่อนของลายผ้า สีสันที่ย้อมก็ได้จากวัสดุธรรมชาติ ทำให้ผ้าที่ได้มีคุณสมบัติและความงดงามที่เป็นเอกลักษณ์ และหากมาที่ศูนย์แห่งนี้ก็สามารถมาเรียนรู้การทอผ้าแบบบ้านผาทั่ง ตั้งแต่การปลูกฝ้าย นำมาปั่นเป็นเส้นด้าย การย้อมสี และการทอลวดลายบนผ้า ซึ่งผ้าลายสวยๆ ก็มีจำหน่ายที่ศูนย์แห่งนี้ รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ผลิตจากผ้าฝ้ายทอมือด้วย
อีกหนึ่งความงดงามของจังหวัดอุทัยธานี ต้องมาที่ “วัดถ้ำเขาวง” วัดสวยที่มีทิวทัศน์ด้านหน้าเป็นบ่อน้ำ ส่วนด้านหลังเป็นภูเขาหินปูนสูงตระหง่าน ส่วนรอบๆ วัดก็ตกแต่งด้วยสวนหิน ไม้ดัด และไม้ประดับ ตัวอาคารสร้างด้วยสถาปัตยกรรมไทย 4 ชั้น ใต้ถุนเป็นลานอเนกประสงค์ ชั้นสองเป็นวิหาร มีรอยพระพุทธบาทจำลอง ชั้นสามเป็นหออริยบูชาไว้สำหรับปฏิบัติธรรม ส่วนพระอุโบสถอยู่ชั้น 4
ด้านหลังวัดจะมีทางเดินขึ้นให้ไปยังถ้ำที่อยู่ด้านบน ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรม ส่วนใครที่จะเดินขึ้นไปชมถ้ำด้านบนควรงดส่งเสียงดัง
กลับมาที่ในตัวเมืองอุทัยธานี บริเวณกลางเมืองมี “เขาสะแกกรัง” เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง ก่อนจะเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง บนยอดเขาสะแกกรังเป็นดินแดนที่ชาวอุทัยยกให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง และเป็นที่ตั้งส่วนหนึ่งของ “วัดสังกัสรัตนคีรี”
การเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาสะแกกรัง สามารถทำได้สองวิธีคือ เดินขึ้นบันได 449 ขั้น จากบริเวณลานวัดสังกัสรัตนคีรี หรือสามารถขับรถขึ้นสู่ยอดเขาได้เลย ซึ่งบริเวณลานจอดรถด้านบนนั้น หากเดินตรงไปจะเป็น “พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก” ซึ่งทรงเป็นพระชนกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เดินตรงเข้าไปอีก ผ่านป่า ขึ้นเขาไปด้านบน จะเป็นจุดสำคัญที่ไม่ค่อยมีใครรู้ นั่นคือ “หมุดหลักฐานแผนที่” ที่เป็นหมุดแผนที่โลก 1 ใน 3 ของทวีปเอเชีย (อีกสองหมุดอยู่ที่อินเดีย และ เวียดนาม) โดยหมุดนี้จะใช้ในการคำนวณและแบ่งแนวเขตเพื่อกำหนดพิกัดในแผนที่โลก เรียกว่าเป็นหนึ่งสิ่งสำคัญที่คนไทยแทบจะไม่รู้เลยว่ามีอยู่ในเมืองไทยของเราด้วย และบริเวณหมุดแผนที่ ก็ยังเป็นจุดชมวิวเมืองอุทัยธานียามพระอาทิตย์ตกที่งดงามอีกจุดหนึ่งเดลยทีเดียว
เดินกลับมาที่บริเวณลานจอดรถ แล้วตรงไปอีกด้านหนึ่งของยอดเขาสะแกกรัง จะเป็นที่ตั้งของ “รอยพระพุทธบาทจำลอง” ที่ประดิษฐานอยู่ในมณฑป โดยรอยพระพุทธบาทนี้ย้ายมาจากวัดจันทาราม ใครที่ขึ้นมาด้านบนยอดเขาสะแกกรังก็อย่าลืมแวะมาสักการะรอยพระพุทธบาทกันด้วย
และที่ด้านหน้าของมณฑปก็มีระฆังใบใหญ่ที่ถือกันว่าเป็นระฆังศักดิ์สิทธิ์ ใครมาแล้วต้องตีเพื่อความเป็นสิริมงคล
อีกหนึ่งแห่งที่พลาดไม่ได้หากมาถึงเมืองอุทัยธานีก็คือที่ “วัดท่าซุง” หรือ “วัดจันทาราม” เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เคยถูกปล่อยทิ้งรกร้างไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง กระทั่งในปี พ.ศ. 2332 หลวงพ่อใหญ่ได้เข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์วัดขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นวัดท่าซุงก็ได้รับการบูรณะก่อสร้างสิ่งต่างๆขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสมัย“พระราชพรหมยาน”(วีระ ถาวโร) (พ.ศ. 2460-2535)หรือที่รู้จักกันดีในนาม“หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” ได้มีการพัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรืองมีการก่อสร้างอาคารสิ่งต่างๆมากมาย
สำหรับจุดที่เป็นไฮไลท์สำคัญของวัดท่าซุงก็คือ “มหาวิหารแก้ว 100 เมตร” วิหารสำคัญที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำสร้างไว้ก่อนมรณภาพ ภายในประดับด้วยกระจกและโมเสคแก้วใสแวววับ บนเพดานประดับโคมไฟคริสตัล มีเสาเรียงรายนำสวยงามนำสายตาไปสู่องค์พระประธานคือ “พระพุทธชินราช”(จำลอง)ที่ประดิษฐานอยู่ทางผนังฟากหนึ่ง ส่วนผนังอีกฟากหนึ่ง(ฝั่งตรงข้าม)ประดิษฐานสรีระของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าเปื่อยไว้ในโลงแก้วให้สักการะบูชา
นอกจากนี้ ยังมีพระพุทธรูปองค์สำคัญอีกหลายจุดในวัด อาทิ วิหารสมเด็จองค์ปฐม มณฑปพระศรีอาริย์ หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา เป็นต้น
ที่อุทัยธานี ยังมีอีกหนึ่งสถานที่สำคัญนั่นก็คือ“แม่น้ำสะแกกรัง” แม่น้ำที่เป็นดังเส้นเลือดสำคัญหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวอุทัยธานีมาช้านาน
ในอดีตแม่น้ำสะแกกรังเคยเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญยิ่ง โดยเป็นทั้งเส้นทางสัญจรของชาวบ้าน และเป็นเส้นทางขนส่งสินค้านานาชนิด รวมถึงเป็นแหล่งทำการค้าขายที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของภาคกลาง อันก่อให้เกิดเป็นชุมชน “เรือนแพ” สุขจริงอิงกระแสธาราขึ้นในลำน้ำแห่งนี้ วันนี้แม้การสัญจรทางน้ำจะลดบทบาทลงไปมาก แต่มรดกแห่งเรือนแพที่ตกทอดจากอดีตสู่ปัจจุบันในแม่น้ำสะแกกรังยังดำรงคงอยู่ ในฐานะชุมชนเรือนแพขนาดใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในบ้านเรา
เรือนแพสะแกกรังเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเรือนแพที่นี่ต่างมีบ้านเลขที่ มีทะเบียนบ้าน ซื้อ-ขายได้ แต่ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้วิถีชาวแพแห่งสะแกกรังยังคงอยู่นั่นก็คือความสะอาดและความอุดมสมบูรณ์ของลำน้ำสะแกกรัง
ชุมชนชาวเรือนแพสะแกกรังวันนี้ยังคงมีวิถีความเป็นอยู่ที่น่าสนใจและน่าเรียนรู้ พวกเขาอาศัยกินอยู่หลับนอนอยู่บนแพ บางแพประดับตกแต่งที่อยู่อาศัยของตัวเองด้วยการปลูกดอกไม้ กล้วยไม้ ปลูกพุทธรักษา บางแพปลูกต้นเตยขาย ปลูกผักบุ้งไว้กินและเก็บขาย บางแพเลี้ยงปลาในกระชัง บางแพดำรงอาชีพประมง มีการทำปลาแห้งรมควันส่งขายตลาด
ด้วยมนต์เสน่ห์ของลำน้ำที่ร่มรื่นสวยงาม สงบ สะอาด และวิถีชาวแพสะแกกรังอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ทำให้วันนี้แม่น้ำสะแกกรังถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นแห่งอุทัยธานี ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากนิยมมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า บรรยากาศยามเย็น ภาพวิถีเรือนแพ และวัดวาอารามริม 2 ฟากฝั่ง หรือหากใครอยากล่องเรือชมวิถึชีวิตริมน้ำ ก็มีเรือนำเที่ยวให้บริการด้วย
เมืองเล็กๆ แห่งนี้ มีเสน่ห์ที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะวิถีชีวิตเนิบช้า ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง ที่ทำให้ผู้มาเยือนอย่างเรารู้สึกสงบ และสบายใจไปด้วยไม่น้อย
* * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในอุทัยธานีได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานอุทัยธานี โทร. 0-5651-4651-2
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com