ด้วยนิสัยของนักเดินทาง มักจะชอบท่องเที่ยวไปในที่ใหม่ๆ ที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก สำหรับคนที่ชอบเป็นผู้บุกเบิก ไม่ชอบตามใคร วันนี้เรามีจุดชมวิวใหม่ๆ ในภาคเหนือ-อีสาน ที่สามารถชมวิวทิวทัศน์งามๆ ทะเลหมอกสวยๆ รับอากาศเย็นๆ มาแนะนำกันเผื่อใครจะไปเป็นผู้นำเทรนด์ในช่วงหน้าหนาวนี้
“ดอยผาแดงแดนสองตะวัน” จ.ลำปาง
ที่อุทยานแห่งชาติแม่วะ อ.เถิน จ.ลำปาง มีการสำรวจพบแหล่งท่องเที่ยวใหม่คือ “ดอยผาแดงแดนสองตะวัน” หรือจุดชมวิวดอยผาแดง ซึ่งมีลักษณะเป็นหน้าผาสูง โดยที่บริเวณด้านหน้าของหน้าผา หินจะมีลักษณะเป็นสีแดงตามชื่อ
ที่นี่สามารถมาชมความสวยงามของพระอาทิตย์ถึงสองเวลา โดยในยามเช้าที่สภาพอากาศเป็นใจก็จะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก ส่วนในยามเย็นก็จะได้เห็นแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้า อีกทั้งยังสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของหมู่บ้านแม่วะได้อย่างชัดเจน ซึ่งมีความสวยงามเป็นอย่างมาก
เนื่องจากเพิ่งถูกสำรวจพบ การเข้าถึงจุดชมวิวดอยผาแดงนี้จึงยังไม่สะดวกนัก โดยต้องนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อเข้ามาก่อนแล้วเดินเท้าต่ออีกประมาณ 2 กม. จึงจะถึงจุดชมวิวดอยผาแดง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางราว 710 เมตร จึงเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการเดินป่าแบบผจญภัย แต่หลังจากนี้ทางอุทยานจะเตรียมออกแบบเส้นทางเดินให้มีระยะทางที่ใกล้ขึ้น พร้อมทั้งทำเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติศึกษาความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์ไม้ต่างๆ และเตรียมจัดหาสถานที่กางเต็นท์บนสันเขา เพื่อเตรียมรับนักท่องเที่ยวที่จะมาชมความสวยงามของดอยผาแดง ในฤดูกาลท่องเที่ยวช่วงหน้าหนาวนี้อีกด้วย
“วัดพระธาตุดอยพระฌาณ" จ.ลำปาง
อีกหนึ่งจุดชมวิวแห่งใหม่ของลำปาง “วัดพระธาตุดอยพระฌาน” บ้านป่าตัน หมู่ 5 ต.ป่าตัน อ.แม่ทะ จ.ลำปาง จุดชมทะเลหมอกหน้าหนาวแบบสุดลูกหูลูกตาแห่งใหม่ ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ 3 อำเภอของเมืองรถม้าลำปางชัดเจน
วัดพระธาตุดอยพระฌานตั้งอยู่บนดอยสูงจากระดับน้ำทะเล 350 เมตร กำลังเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ผู้คนนิยมเดินทางไปทำบุญ พร้อมกับชมความสวยงามของทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า อีกทั้งยังสามารถมองเห็นรอบทิวทัศน์แบบ 360 องศา รอบข้างเขียวขจีไปด้วยป่าไม้ และมองเห็นทิวทัศน์ของทั้ง 3 อำเภอรอบข้างคือ อำเภอแม่ทะ อำเภอเกาะคา และอำเภอเมืองลำปางได้อย่างชัดเจน
นอกจากนั้นวัดแห่งนี้ยังเป็นวัดเก่าแก่ของลำปาง สร้างมากว่า 100 ปี แต่ถูกปล่อยให้รกร้างมานานหลายปี ก่อนจะได้รับการบูรณะเมื่อปี 2552 โดยภายในวัดมีทั้งศิลปะปูนปั้น พระพุทธรูปสวยงาม ท่ามกลางสายหมอก และอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี
“ภูชี้ดาว” จ.เชียงราย
มากันที่จังหวัดเชียงรายบ้าง ที่นี่มี “ภูชี้ดาว” เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่เพิ่งเป็นที่รู้จักเมื่อไม่นานมานี้ แต่ด้วยวิวทิวทัศน์อันงดงามก็ทำให้ภูชี้ดาวเป็นจุดมุ่งหมายในใจของใครหลายคน สำหรับภูชี้ดาว ตั้งอยู่ที่บ้านร่มโพธิ์เงิน ม.11 ต.ปอ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย เป็นสันเขาแคบๆ ที่สามารถขึ้นไปชมวิวได้แบบ 360 องศา ยอดภูยื่นออกไปกลางขุนเขาที่สูงชัน ปกคลุมด้วยผืนหญ้าและป่าไม้ โดยทางเดินไปสู่ยอดภูได้สร้างรั้วไม้ไปตลอดแนวเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
ในวันที่ท้องฟ้าเป็นใจ ที่นี่จะเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามยิ่งนัก มองเห็นเเป็นทะเลหมอกหนาเป็นปุย มียอดเขาที่โผล่พ้นหมอกขึ้นมาให้เห็นอย่างมีเสน่ห์ และวันไหนถ้าไม่มีเมฆบังก็สามารถมองเห็นยอดภูชี้ฟ้าได้ชัดเจนอีกด้วย
ใครอยากไปชมบรรยากาศสวยๆ ของภูชี้ดาว จะต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น โดยแนะนำให้ใช้บริการรถของชาวบ้านในพื้นที่ที่ชำนาญเส้นทางจะดีกว่า โดยจากจุดจอดรถจะต้องเดินเท้าต่อไปบนยอดภูชี้ดาวอีก ราว 200 เมตร และจะต้องใช้ความระมัดระวังให้มากเพราะบริเวณสันเขาบนยอดภูชี้ดาวมีพื้นที่ไม่มากนัก และสองด้านเป็นเหวลึก แต่วิวก็สวยสุดใจเช่นกัน
“ภูชี้เดือน” จ.เชียงราย
ยังคงอยู่ใจจังหวัดเชียงรายเช่นเดิม ที่ “ภูชี้เดือน” ภูน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือนธันวาคมนี้เอง โดยภูชี้เดือนเป็นเทือกเขาชายแดนไทย-ลาว ตั้งอยู่ที่บ้านร่มฟ้าหลวง ม.12 ต.ปอ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย อยู่ห่างจากภูชี้ฟ้าไปประมาณ 8 ก.ม.
สภาพภูมิประเทศของภูชี้เดือนเป็นเนินเขาที่ทอดตัวเป็นแนวยาวไปตามแนวชายแดนฝั่งไทย อีกด้านเป็นพื้นที่ของฝั่ง สปป.ลาว ลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน และมียอดภูชี้เดือน ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,743 เมตร ตั้งโดดเด่นอยู่ระหว่างภูชี้ฟ้าและผาตั้ง และด้วยความสูงของภูชี้เดือน ที่สูงกว่ายอดภูเขาลูกอื่นทำให้สามารถมองเห็นยอดภูชี้ฟ้า ผาตั้ง ภูชี้ดาว ได้พร้อมกันทั้ง 3 ลูกเลยทีเดียว
ที่ภูชี้เดือนนี้ก็เป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามไม่แพ้อีกสามแห่งที่กล่าวมาแล้ว ใครอยากขึ้นไปชมบรรยากาศด้านบนก็สามารถใช้บริการรถรับส่งนักท่องเที่ยวของชาวบ้านที่มาช่วยกันดูแล โดยคิดราคาขาขึ้น-ลงคนละ 100 บาท
“ภูชี้ฟ้าน้อย” จ.พะเยา
ใกล้เคียงกับเชียงราย ในจังหวัดพะเยา ที่นี่มี “ภูชี้ฟ้าน้อย” เป็นจุดชมวิวแห่งใหม่ที่เริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว โดยภูชี้ฟ้าน้อยนี้อยู่บริเวณผาหัวเรือ ป่าบ่อสิบสอง หมู่ 16 ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ห่างตัวเมืองเพียง 6 กิโลเมตร
สำหรับชื่อ “ภูชี้ฟ้าน้อย” นั้นก็บอกอยู่แล้วว่าต้องมีทัศนียภาพสวยงามคล้ายภูชี้ฟ้าของจังหวัดเชียงราย โดยผาหัวเรือดังกล่าวมีลักษณะเป็นภูเขาที่ยื่นออกไปในลักษณะคล้ายหัวเรือเป็นยอดแหลมชี้ขึ้นฟ้า และมีลานสำหรับให้นักท่องเที่ยวนั่งชมทิวทัศน์ โดยในช่วงเช้าที่สภาพอากาศเป็นใจก็จะมีทะเลหมอกหนาเป็นปุยให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันแบบไม่ต้องเดินทางไปไกลๆ เมืองพะเยาเลย
“ภูชี้เพ้อ” จ.แม่ฮ่องสอน
ได้ยินชื่อกันมาสักพักแล้ว แต่อาจไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง สำหรับ “ภูชี้เพ้อ” ในหน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ไม่ไกลจากทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอ ที่นี่อยู่บนความสูง 1,818 เมตรจากระดับน้ำทะเล แม้ชื่อจะดูเพ้อๆ แต่ความสวยนั้นไม่เพ้อเลย เพราะที่นี่เป็นจุดชมวิวชั้นดีสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมทั้งชมทะเลหมอกหนาเป็นปุย ท่ามกลางภูเขาสลับซับซ้อนของแม่ฮ่องสอน และในช่วงที่ดอกบัวตองดอยแม่อูคอกำลังบาน ก็สามารถมองเห็นความสวยงามได้จากบนจุดชมวิวภูชี้เพ้ออีกด้วย
“เขาโปกโล้น” จ.พิษณุโลก
ที่อำเภอนครชุม จังหวัดพิษณุโลก ก็มีจุดชมวิวแห่งใหม่ที่สวยไม่แพ้ที่ไหนๆ คือที่ “เขาโปกโล้น” ในร่องเขานครชุม หมู่ 2 บ้านนาลานข้าว ตำบลนครชุม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งบริเวณนี้อยู่ในร่องเขา มีภูเขาโอบล้อม ทิวทัศน์สวยงามนัก จึงมีการสร้างระเบียงชมวิว “ร่องเขาแห่งนครชุม” ไว้ให้ชมทิวทัศน์กัน นอกจากนั้นก็ยังสามารถเดินขึ้นไปที่เขาโปกโล้นได้ โดยเดินไต่ไปตามไหล่เขา ลัดเลาะผ่านเส้นทางธรรมชาติอันสวยงาม ซึ่งด้านบนเขาโปกโล้นจะสามารถชมวิวทะเลหมอกแบบ 180 องศา ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปคู่กับทะเลหมอกที่ลอยอ้อยอิ่ง และชมบรรยากาศของพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าไว้เป็นที่ระลึก เชื่อว่าที่นี่กลายเป็นจุดท่องเที่ยวและชมทะเลหมอกยอดนิยมแห่งใหม่ของจังหวัดพิษณุโลกได้ในไม่ช้านี้
“ภูบักได” ผาหลอกลวง จ.เลย
มาถึงจุดชมวิวที่กำลังเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียลกันในขณะนี้ นั่นคือ “ภูบักได” หรือ “ผาหลอกลวง” หรือ “ผาขี้ตั๋ว” ในภาษาอีสาน โดยผาที่ว่านี้ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง บริหารจัดการโดยชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนปลาบ่า ต.ปลาบ่า อ.ภูเรือ จ.เลย โดยจุดเด่นของภูบักได หรือผาหลอกลวงนี้ก็คือเป็นก้อนหินแบนๆ ยื่นออกมากลางอากาศ นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปยืนถ่ายรูปบนหินนั้น แล้วทำให้ดูเหมือนว่าช่างเป็นจุดชมวิวที่น่าหวาดเสียว น่ากลัวจะตกลงไป แต่ที่จริงแล้วหินก้อนนั้นอยู่สูงจากพื้นไม่กี่เมตร ตกลงไปอาจจะมีกลิ้งเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับตกเขาแน่นอน จึงได้ชื่อว่า “ผาหลอกลวง” นั่นเอง
การจะไปภูบักไดนี้ไม่ง่ายนัก เพราะต้องเดินทางไปด้วยรถอีแต๊ก 8 กิโลเมตร และเดินเท้าอีก 4 กิโลเมตร รวม 12 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ช่วงนี้ยังมีอากาศหนาวเย็น ลมแรงมาก แต่ก็เชื่อว่าเป็นที่เที่ยวมาแรงแห่งใหม่ที่หลายคนอยากไปแน่นอน
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com