xs
xsm
sm
md
lg

เดินเท้าท่องเขตพระนคร "บางขุนพรหม-บางลำพู" เสน่ห์ถิ่นเก่า ดูวัดเก่าแก่ในเมืองกรุง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พระสุวรรณเขต และพระพุทธชินสีห์  2 พระประธานประจำอุโบสถวัดบวรฯ
"พระนคร" เป็น 1 ใน 50 เขตการปกครองของกรุงเทพมหานครที่มายาวนาน รวมทั้งเป็นเขตอนุรักษ์เมืองเก่าที่มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมในยุครัตนโกสินทร์ เนื่องจากมีสถานที่สำคัญทั้งทางด้านวัฒนธรรมและด้านการเมืองการปกครองตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก  คราวนี้ฉันได้มาร่วมเดินกับกิจกรรม “กรุงเทพฯ เดินเที่ยว : Walking Bangkok” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  ที่จะพาฉันเดินเส้นทางลัดเลาะบางขุนพรหม-บางลำพู ไหว้พระ เดินท่องชุมชนเขตพระนครแห่งนี้

เริ่มต้นเส้นทางกันด้วยวัดที่มีประวัติศาสตร์สำคัญมากมายอย่าง "วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร" วัดอารามหลวงชั้นเอก ที่ตั้งอยู่บนถนนพระสุเมรุ ย่านบางลำภู อยู่ทางตอนเหนือของพระบรมมหาราชวัง เดิมมีชื่อเรียกว่า “วัดใหม่” ได้ถูกสถาปนาและสร้างเป็นวัดขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ 3 วัดบวรนิเวศราชวรวิหารถือได้ว่าเป็นวัดแห่งราชวงค์จักรี เพราะมีเจ้านายถึง 6 พระองค์ด้วยกันที่ทรงเสด็จไปประทับเมื่อทรงผนวช คือ รัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 9 รวมทั้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร อีกด้วย
พระตำหนักปั้นหยา ที่ประทับของเจ้านายเมื่อครั้นทรงผนวชและจำพรรษาที่วัดบวรฯ
เมื่อครั้นที่่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงออกผนวช ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม-5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 เป็นเวลา 15 วัน ท่านได้เสด็จมาประทับ ณ “พระตำหนักปั้นหย่า”(พระตำหนักปั้นหยา) เป็นตึก 3 ชั้น สถาปัตยกรรมแบบยุโรป เดิมทีเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งที่ทรงพระผนวช หลังจากนั้นที่นี่จึงเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระผนวชและเสด็จมาประทับที่วัดนี้ โดยในวันลาสิขาบท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกต้นสักไว้ที่ด้านหลังพระตำหนักปั้นหย่า ที่วันนี้เติบโตสูงใหญ่เป็นที่ปลาบปลื้มแก่พสกนิกรที่พบเห็น 
ต้นสักที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกในวันลาผนวชเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2499
วัดบวรฯ มีพระประธานประจำอุโบสถอยู่ 2 องค์คือ พระสุวรรณเขต เป็นพระประธานองค์ใหญ่ อันเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี และ พระพุทธชินสีห์ ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระพุทธสุวรรณเขต เดิมประดิษฐานอยู่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ก่อนจะอัญเชินมาประทับที่วัดบวรฯ แห่งนี้ วัดบวรฯ มีศิลปะแบบยุโรปผสมผสานอยู่ คือ มีเสาขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าอุโบสถ และมีแผนผังการสร้างวัดเป็นแบบอยุธยา คือ มีพระอุโบสถ วิหาร เจดีย์ ตั้งอยู่เป็นทรงแนวเดียวกัน
มัสยิดจักรพงษ์ ศูนย์รวมใจชาวไทยอิสลาม
จากนั้นเดินมุ่งตรงไปที่ตรอกมัสยิดจักรพงษ์ เพื่อไปยัง “มัสยิดจักรพงษ์” หรือ “สุเหร่าวัดตองปุ” เป็นศาสนสถานของชาวไทยมุสลิมในย่านบางลำพู สร้างขึ้นโดยชาวเมืองปัตตานีที่ถูกกวาดต้อนมาในสมัยรัชกาลที่ 1ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เชลยที่มีความสามารถทางด้านการทำทองจะถูกส่งตัวมาทำงานในย่านนี้ ทำให้ชุมชนมัสยิดจักรพงษ์มีความสามารถในเรื่องการทำทองสืบต่อกันมา แต่ปัจจุบันในชุมชนไม่มีการทำทองแล้ว เนื่องจากการทำทองทำได้ยากและเสียเวลาทำให้ไม่มีผู้ใดสืบทอดการทำทองต่อไป 
การปักชุดโขน ของชุมชนตรอกเขียนนิวาสน์-ตรอกไก่แจ้
ถัดจากมัสยิดจักรพงษ์ก็คือ ตรอกเขียนนิวาชน์-ตรอกไก่แจ้ ชุมชนที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำ "ชุดโขน" งานหัตถกรรมที่ต้องใช้ความละเอียดลออในการสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งปัจจุบันหาคนทำได้ยากมากแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังคงสืบสานกันไว้ เพราะไม่อยากให้ศิลปหัตถกรรมของไทย จบสิ้นไปพร้อมกับคนใดคนหนึ่ง ทั้งนี้ชุมชนตรอกเขียนนิวาชน์-ตรอกไก่แจ้ ยังเปิดโอกาสให้คนที่สนใจเข้ามาร่วมเรียนรู้การทำชุดโขนแบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ 
“พระพุทธเกสร” เป็นพระพุทธรูปปิดทองปางมารวิชัย  พระประธานวัดสามพระยาวรวิหาร
จากนั้นเดินเท้ามาชุมชนวัดสังเวช ลัดเลาะตามตรอกซอกซอยไปที่สามเสนซอย 5 จะเจอ วัดสามพระยาวรวิหาร  วัดเก่าแก่ในสมัยรัชกาลที่ 1 โดยหลวงวิสุทธิ์โยธามาตย์ (ตรุษ) ขุนนางเชื้อสายมอญ พร้อมด้วยวงศาคณาญาติได้ร่วมใจกันยกที่ดินพร้อมทั้งบ้านเรือนของขุนพรหม (สารท) ผู้เป็นน้องชาย อุทิศถวายเป็นวัดเพื่อเป็นผลบุญและเป็นอนุสรณ์แก่ ขุนพรหม ซึ่งเสียชีวิตด้วยไข้ป่า วัดนี้จึงได้ชื่อว่า "วัดบางขุนพรหม" 
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่3 วัดบางขุนพรหมชำรุดทรุดโทรมลง พระยาราชสุภาวดี (ขุนทอง) พระยาราชนิกุล (ทองคำ) และพระยาเทพอรชุน (ทองห่อ) ซึ่งเป็นบุตรของน้องสาวคนสุดท้อง (พวา) ของหลวงวิสุทธิโยธามาตย์ (ตรุษ) และขุนพรหม (สารท) จึงพร้อมใจกันปฏิสังขรณ์วัดจนสำเร็จบริบูรณ์ แล้วน้อมเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 3 และพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ รับเป็นพระอารามหลวง พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า "วัดสามพระยาวรวิหาร"
ลวดลายมงคล จิตรกรรมฝาผนังวัดสามพระยาฯ
วัดสามพระยาฯ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบจีน เป็นแบบแผนที่รัชกาลที่ 3 นิยม คือ มีลวดลายแบบจีนผสมไทยไม่มีช่อฟ้า ใบระกาให้เห็น จิตรกรรมฝาผนังภายในโบสถ์เป็นแบบลวดลายมงคล เช่น ลายสัตว์มงคล ผีเสื้อ (ความมีอายุยืน) นก (ความรื่นเริง) ค้างคาว (ความสูงส่ง) นอกจากนี้ยังมีพานผลไม้ ดอกไม้ ที่เป็นมงคลต่างๆ

ส่วนพระประธานภายในพระอุโบสถมีนามว่า “พระพุทธเกสร” เป็นพระพุทธรูปปิดทองปางมารวิชัย พระพักตร์ค่อนข้างรี ขมวดพระเกศาเป็นปุ่มแหลม มีพระเกตุและพระรัศมี ชุกชีและชั้นเบญจาเป็นฐานสิงห์ ผู้คนนิยมมากราบไหว้สักการะเพื่อความเป็นมงคล ด้านเมตตามหานิยมและความรัก ด้านข้างทั้งสองขนาบด้วยพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรมีฉัตร 5 ชั้น 
ซุ้มพระเจ้าเข้านิพพานที่ประดิษฐานหีบสลักลายพระพุทธบาทคู่ วัดเอี่ยมวรนุช
จากนั้นก็เดินกันต่อไปที่ วัดเอี่ยมวรนุช วัดราษฎร์เล็กๆ ที่ตั้งอยู่สี่แยกบางขุนพรหม วัดเอี่ยมวรนุชไม่ปรากฏหลักฐานการก่อสร้างที่แน่ชัด มีเพียงเรื่องเล่าว่าเดิมชื่อ “วัดใหม่ท้องคุ้ง” เพราะตั้งอยู่ริมคลองบางขุนพรหม (ปัจจุบันคลองถูกถมเป็นถนนพายัพ)  สิ่งก่อสร้างภายในวัดส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นมาภายหลัง อาคารเก่ามีเพียง "ซุ้มพระเจ้าเข้านิพพาน" เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ซุ้มยอดปรางค์มีบันไดทางขึ้น ประดับรูปสลักนูนต่ำเป็นรูปเสือ สิงห์ และเด็ก ภายในเป็นที่ประดิษฐานหีบสลักลายพระพุทธบาทคู่ พระพุทธรูปและพระสาวก
พระพุทธรูปหล่อ พระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ณ เจดีย์ วัดใหม่อมตรส
ถัดไปอีกหนึ่งซอยนั้น เราก็พบกับ วัดใหม่อมตรส วัดราษฎร์อีกหนึ่งวัด ตั้งอยู่แขวงพานถม เขตพระนคร เดิมชื่อ “วัดวะรามะดาราม” เป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นเมื่อสมัยปลายรัชกาลกรุงธนบุรี ไม่พบหลักฐานผู้สร้าง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดอำมาตรส หรือ อมฤตรส จากการสันนิฐานตามพงศาวดาร เมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อให้ใหม่เป็น “วัดอมตรส” ต่อมาได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นเสมือนเป็นอาคารหลังใหม่ จึงได้ใช้นามว่า “วัดใหม่อมตรส”

วัดใหม่อมตรส ได้รับการบูรณเมื่อครั้นที่พระพุฒาจารย์โตได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดอินทรวิหาร ท่านเห็นว่าวัดใหม่เป็นวัดร้างสงบมีต้นไม้อยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้ทำการบูรณะขึ้นมา วัดใหม่อมตรสมีชื่อเสียงทางด้านวัตถุมงคล มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า พระสมเด็จบางขุนพรหม ได้บูรณะปฏิสังขรณ์เจดีย์ขึ้นและได้สร้างพระพิมพ์ผงของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ด้วยผงวิเศษ อิฐเจ ปถมัง ตรีนิสิงเห และผงมหาราช มีความศักดิ์สิทธิ์เรื่องการเกิดอภินิหารต่างๆ ทางเมตตา มหาลาภ มหานิยม ทรงพลังในทางแคล้วคลาดป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดี
เจ้าพ่อหนู
จากนั้นเดินเท้าจากวัดใหม่อมตรสเรียบถนนสามเสนไปที่ ศาลเจ้าพ่อหนู ศาลเจ้าพ่อลอยฟ้าแห่งบางลำภู ตั้งอยู่เชิงสะพานนรรัตน์สถาน ที่เคารพบูชาของชาว 3 ตลาด คือ ตลาดนานา ตลาดทุเรียน และตลาดยอด ในอดีตมีพระพุทธรูปลอยน้ำมา และไม่ยอมลอยไปไหน ชาวบ้านจึงได้อัญเชิญขึ้นมาบนศาล และเรียกชื่อว่า “เจ้าพ่อหนู” เพราะมีขนาดเล็กลักษณะคล้ายเด็ก ต่อมาได้เกิดไฟไหม้บริเวณตลาดทุเรียน มีชาวบ้านเห็นเด็กผู้ชายแต่งกายชุดสีชมพูยืนโบกธงอยู่ในลักษณะปัดเป่าทำให้ไฟสงบลง ประจวบเหมาะกับมีพระลอยน้ำมา ชาวบ้านจึงเข้าใจว่าเด็กชายดังกล่าวเป็นเจ้าพ่อหนู ที่คอยมาปกปักรักษา
ของเล่นที่ประชาชนนำมาแก้บน
"เจ้าพ่อหนู" มีขนาดหน้าตักกว้าง 8.5 นิ้ว สูง 11 นิ้ว เนื้อโลหะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระพักตร์คล้ายเด็กยิ้ม มีความศักดิ์สิทธิ์เรื่องการมาขอพรที่ให้ขายที่ดินได้ การเรียน การศึกษาและแก้บนด้วยของเล่น
“พระพุทธนวราชบพิตร” พระประธานประจำอุโบสถ วัดตรีทศเทพวรวิหาร
เดินลัดเลาะคลองรอบกรุงไปที่ วัดตรีทศเทพวรวิหาร วัดอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่บางลำพูฝั่งเหนือ อยู่นอกกำแพงเมือง แขวงพานถม เขตพระนคร วัดตรีทศเทพวรวิหาร เป็นวัดที่มีเจ้านาย 3 พระองค์ได้สร้างขึ้น คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านพวงศ์ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุประดิษฐ์ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมจึงเป็นวัดตรีทศเทพฯ คือ มีเทพสามองค์เป็นคนสร้าง (คนสมัยก่อนนับถือพระเจ้าแผ่นดินเป็นเทพ)
ปริศนาธรรม จิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถวัดตรีทศเทพฯ
วัดตรีทศเทพวรวิหาร มีระเบียงรอบอุโบสถ มีเจดีย์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันอุโบสถได้มีการปรับปรุง และมีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังขึ้นมาใหม่โดย อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ โดยเป็นเรื่องราวพระพุทธประวัติ และปริศนาธรรมต่างๆ ให้ได้ศึกษากัน พระพุทธรูปที่ประดิษฐานประจำพระอุโบสถมีชื่อว่า “พระพุทธนวราชบพิตร” เป็นพระพุทธรูปทีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานพระบรมราชานุญาติให้หล่อขึ้นมาใหม่ เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานประจำอุโบสถ
หากมีโอกาสก็ไม่ควรพลาดที่จะมาเดินท่องเที่ยวเขตพระนครแบบนี้สักครั้ง เพราะนอกจากจะได้สักการะบูชาพระคู่บ้านคู่เมืองทั้งของวัดราษฎร์และวัดอารามหลวงเพื่อเป็นมงคลให้กับตัวเอง ยังได้ชื่นชมสถาปัตยกรรมที่งดงามและเรื่องราวประวัติศาสตร์อีกมากมาย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น