โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
“อวตาร”(Avatar)
อิทธิพลของภาพยนตร์เรื่องนี้(ของผู้กำกับชื่อดัง“เจมส์ คาเมรอน”) ทำให้เมือง“จางเจียเจี้ย”มีชื่อเสียงโด่งดังระบือไกล ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาสัมผัสกับความสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจของ“ขุนเขาอวตาร”อันน่ามหัศจรรย์
และมีอยู่จริงในโลกใบนี้
1...
เมืองจางเจียเจี้ย ตั้งอยู่ในมณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน การเดินทางจากเมืองไทยที่สะดวกที่สุดคือ บินไปลงเมืองฉางซา แล้วต่อไปยังเมืองจางเจียเจี้ย ซึ่งวันนี้สายการบิน“แอร์เอเชีย”มีเที่ยวบินตรงจากเมืองไทยสู่ฉางซา ทั้ง“กรุงเทพฯ-ฉางซา”และ“เชียงใหม่-ฉางซา”
“ฉางซา”(Changsha) เป็นเมืองเอกของมณฑลหูหนาน จากเมืองฉางซาใช้เวลาเดินทางทางถนนด้วยรถบัสประมาณ 4 ชม. ก็จะถึงยังเมืองจางเจียเจี้ย ที่วันนี้เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของจีน เพราะเป็นเมืองที่มีธรรมชาติอันสวยงามแวดล้อมไปด้วยขุนเขา จนได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของจีนในปี ค.ศ.1992 (แต่เปิดให้มีการท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการในปี 1995)
เมืองจางเจียเจี้ยนอกจากจะมี“ขุนเขาอวตาร”หรือ“ขุนเขาจักรพรรดิ” อันลือลั่นเป็นไฮไลท์สำคัญทางการท่องเที่ยวของเมืองนี้แล้ว จางเจียเจี้ยยังมี“ประตูสวรรค์” เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญอันโดดเด่นเคียงคู่กับขุนเขาอวตาร
สำหรับโปรแกรมการเที่ยวประตูสวรรค์นั้น หากมาเป็นคณะทัวร์(ไทย) ส่วนใหญ่จะมีการพาไปแวะเที่ยวที่ “พิพิธภัณฑ์ภาพวาดทราย” ของ อาจารย์“หลี่ จุน เซิง”(Li Jun Sheng) ศิลปินชื่อดังของเมืองจีน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเมืองจางเจียเจี้ย
อาจารย์หลี่ จุน เซิง ได้นำวัสดุธรรมชาติอย่างเช่น เม็ดทราย กรวดสี หินสี กิ่งไม้ เปลือกไม้ มาสร้างสรรค์ด้วยเทคนิคภาพวาดสีน้ำมัน(ของตะวันตก)ผสมกับเทคนิคภาพวาดพู่กันจีน เกิดเป็นภาพวาดที่มีมิติ มีพื้นผิว(Texture)อันสวยงามน่าทึ่ง และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร จนได้รับการยกย่องขนานนามให้เป็น“ภาพเขียนทรายจุน เซิง” ซึ่ง อ.หลี่ ได้มีคำกล่าวถึงผลงานภาพเขียนของท่านว่า
"เป็นการร่ายรำด้วยทราย และการสนทนากับหมู่มวลหิน"
ภาพเขียนทรายจุน เซิง ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพวิวทิวทัศน์ของประเทศจีน โดยเฉพาะภาพวิวของเมืองจางเจียเจี้ย หลายๆภาพทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงเพื่อขาย(แต่บางภาพก็โชว์เฉยๆไม่ขาย)
ใครที่ถูกตาต้องใจก็สามารถเลือกซื้อกลับมาไว้ในคอลเลคชั่นกันได้ ซึ่งแม้ว่าสนนราคาโดยรวมจะค่อนข้างสูง แต่นี่คืองานศิลปะที่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้เสพ ผู้ซื้อเป็นหลัก ชอบก็ซื้อ ไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อ หรือใครที่ชอบแต่เมื่อเห็นราคาแล้วถอดใจ ก็ให้ซึมซับความงามเหล่านั้นเก็บไว้ในใจและในความทรงจำ(แม้ว่าจนท.พิพิธภัณฑ์สาวจีนหน้าตาจิ้มลิ้มบางคนจะพยายามบิวด์อารมณ์ด้วยภาษาไทยอันฉะฉานว่า ว่า “ชอบก็ซื้อ ไม่ชอบก็ซื้อ”ก็ตาม)
2...
หลังอุ่นเครื่องด้วยผลงานภาพวาดวิวทิวทัศน์แห่งขุนเขาอันสวยงามของเมืองจางเจียเจี้ยแล้ว จุดต่อไปเราเดินทางไปสัมผัสของจริงกันที่ “ประตูสวรรค์” (เทียนเหมินซาน)(บางคนเรียกว่า“ถ้ำประตูสวรรค์”) ที่เป็นขุนเขาสูง บนยอดมีลักษณะเป็นช่องหินหรือโพรงหินขนาดใหญ่ ดูคล้ายช่องประตูหินขนาดยักษ์ ดูโดดเด่นมองเห็นแต่ไกล(ณ บางมุมของใจกลางเมืองจางเจียเจี้ย)
สำหรับการเดินทางขึ้น-ลง และเที่ยวประตูสวรรค์นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งการเปิดประสบการณ์ทางการท่องเที่ยวที่แปลกใหม่ เพราะมันมีสิ่งชวน(หวาด)เสียว ให้ได้ท้าทายกันในหลายช่วงด้วยกัน
เริ่มจากความเสียวในช่วงแรกกับการนั่งกระเช้าหรือเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไป ซึ่งหากใครที่มาเที่ยวในช่วงเทศกาลสำคัญๆของจีนที่มีวันหยุดยาว อาจต้องรอนั่งกระเช้ากันขาลากนานถึง 2-4 ชม.(หรือมากกว่านั้น)ท่ามกลางนักท่องเที่ยว(ทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติ)ที่เบียดเสียดกันแน่นขนัด และพยายามแซงคิวกันอย่างบรรลัยวายป่วง(อันนี้ไม่เสียว แต่ที่ผ่านมาหวิดมีเรื่องกันหลายคณะจากการเบียดแซงกันไปแซงกันมา)
ส่วนถ้ามาในช่วงวันปกติที่มีนักท่องเที่ยว(มาก)พอประมาณอย่างในทริปนี้(ของผม) เราไปยืนรอกระเช้ากันไม่นาน(ไม่ถึงครึ่งชม.)ก็ได้นั่งกระเช้าขึ้นลอยเท้งเต้งกลางเวหากันแล้ว
กระเช้าขึ้น(และลง)ประตูสวรรค์ นั่งได้เต็มพิกัด 8 คน ถือว่ามีความพิเศษมาก เพราะเป็นกระเช้า(มากกว่า 1 ช่วง)ที่มีความยาวที่สุดในโลก ยาวถึงร่วม 7.5 กิโลเมตร(7,455 เมตร) ใช้เวลานั่งประมาณ 40 นาที
ระหว่างเส้นทางนั่งกระเช้า จะผ่านวิวทิวทัศน์อันสวยงามอยู่ 3 ช่วงด้วยกัน ช่วงแรกเป็นวิวตัวเมืองจางเจียเจี้ยที่เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างตึกรามบ้านเรือน ช่วงที่สองเป็นวิวชนบทของจางเจียเจี้ย กับทิวทัศน์ของหมู่บ้าน(เล็กๆ)ท้องไร่ ท้องนา แม่น้ำ
ส่วนช่วงที่สามเป็นทิวทัศน์ของขุนเขา ป่าไพร ด้านบนมองเห็นช่องประตูสวรรค์อยู่ไกลๆ ขณะที่ด้านล่างมองเห็นถนน 99 โค้ง เส้นทางขึ้น-ลงประตูสวรรค์ทางภาคพื้นดินอันสวยงามและน่าหวาดเสียวไม่น้อย
จากนั้นเส้นทางนั่งกระเช้าในช่วงสุดท้ายก่อนถึงยอดเขาประตูสวรรค์ มันคืออีกหนึ่งความสวยสุดเสียว กับเส้นทางนั่งกระเช้าช่วงเดียวที่เคลื่อนไต่ตามสายสลิงอันสูงชันดิกขึ้นสู่ยอดเขาท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันแสนงาม พร้อมชวนให้(แอบ)ลุ้นระทึกเล็กๆว่าเมื่อไหร่จะถึงยอดเขาสักที
3...
เมื่อกระเช้ามาถึงยังยอดเขาประตูสวรรค์ บนนี้มีลักษณะเป็นที่ราบขนาดใหญ่ เป็นป่าไม้และสิ่งก่อสร้างทางการท่องเที่ยว เช่น วัดเจ้าแม่กวนอิม สวนหย่อม และทางเดินชมทิวทัศน์เลาะเลียบริมผาที่น่ายลไปด้วยวิวของทะเลภูเขา และธรรมชาติอันสวยงาม ดูสดชื่นสบายตา
นอกจากนี้ที่พิเศษก็คือ บนเส้นทางเดินชมวิวยังมี “ทางเดินพื้นกระจกใส”(สกายวอล์คกระจกใส) ให้เลือกเดินพิสูจน์วัดใจ(มีทั้งฝั่งตอ.และ ตต.) กับทางเดินพื้นกระจกใสที่สร้างยืนออกมาจากหน้าผา พื้นกระจกหนาประมาณ 2.5 นิ้ว กว้างประมาณ 3 ฟุต ยาวกว่า 100 เมตร
ใครที่จะไปเดินชมวิววัดใจเปิดประสบการณ์แปลกใหม่บนสกายวอล์คยอดเขาประตูสวรรค์ จะต้องไปสวมใส่รองเท้าผ้าที่มีการจัดเตรียมไว้ให้ จากนั้นจึงค่อยๆเดินไปตามทางพื้นใสที่กำหนดไว้แบบวันเวย์ คือเมื่อตัดสินใจที่จะเดินไปแล้ว ห้ามเดินกลับ!!! นั่นเล่นเอาหลายๆคนเมื่อมาเดินถึงกลับเข่าอ่อนชนิดค่อยๆคลานไปก็มี (ส่วนใครที่คิดว่าไปไม่ไหวจริงๆก็ให้เดินไปบนพื้นปกติที่มีสร้างเชื่อมต่อไว้แคบๆริมผา)
ขณะที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเมื่อได้มาเดินบนนี้ดูจะดี๊ด๊า ถ่ายรูป เซลฟี่กันอย่างเพลิดเพลิน โดยไม่ค่อยได้สนใจวิวทิวทัศน์อันสวยงามที่เบื้องล่างสักเท่าไหร่ หากแต่พุ่งเป้าไปที่ความน่าตื่นตาตื่นใจของการได้มาเดินบนสกายวอล์คกระจกใสแห่งนี้มากกว่า
พ้นจากเส้นทางเดินบนสกายวอล์คกระจกใส จะเป็นเส้นทางเดินกลับ(อีกทาง)บนพื้นปกติ พากลับไปยังจุดเดิมเพื่อลงจากยอดเขาประตูสวรรค์สู่ช่องเขาประตูสวรรค์ ซึ่งวันนี้ประเทศจีนมีอีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่ทางการท่องเที่ยวมาให้ได้เปิดประสบการณ์แปลกใหม่กันอีกแล้ว กับ“บันไดเลื่อนในภูเขา”
บันไดเลื่อนในภูเขา เป็นการขุดเจาะภูเขาสร้างบันไดเลื่อน มี 2 จุดด้วยกัน จุดแรก เป็นบันไดเลื่อน(ขึ้น-ลง)จากยอดเขาประตูสวรรค์สู่ช่องประตูสวรรค์ มี 7 ช่วง ส่วนจุดสองเป็นบันไดเลื่อน(ขึ้น-ลง)จากช่องประตูสวรรค์ไปสู่บริเวณลานทางขึ้นช่องประตูสวรรค์(ลานจอดรถ) มีอยู่ 5 ช่วงด้วยกัน
สำหรับการเดินขึ้น-ลง บันไดเลื่อนในภูเขา เป็นการเดินไปในอุโมงค์ในขุนเขา มีบันไดเลื่อน(ขึ้น-ลง)เป็นเส้นทางสัญจรเชื่อมต่อ ซึ่งบันไดเลื่อนใต้ภูเขา(ประตูสวรรค์)ของที่นี่นั้น ถือเป็นเจ้าแรกๆของโลกที่ได้คิดสร้างทำขึ้น รวมถึงเปิดตัวให้ใช้กันแบบใหม่เอี่ยมอ่อง สดๆหมาดๆ
4…
หลังลงบันไดเลื่อนมาถึงยังช่องประตูสวรรค์ จากที่ผมได้เห็นช่องประตูแห่งนี้ไกลๆจากในตัวเมืองและจากการนั่งกระเช้าผ่าน มันดูเป็นช่องโพรงขนาดย่อม แต่ว่าเมื่อได้มาสัมผัสกับของจริงด้วยการไปยืนอยู่ใต้ประตูสวรรค์นั้น มันช่างเป็นช่องประตูหินอันใหญ่ยักษ์ที่ดูอลังการและน่าทึ่งมากๆ
ช่องประตูสวรรค์เกิดจากการระเบิดตามธรรมชาติของยอดเขาประตูสวรรค์(ในอดีต) มีความสูงถึง 131.5 เมตร กว้าง 57 เมตร และลึก 50 เมตร
ชาวจีนเชื่อว่าช่องประตูสวรรค์เป็นประตูของเหล่าทวยเทพเทวดา ในยามเช้าเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านช่องประตูหินดูสวยงามปานเนรมิต จึงจินตนาการว่าเป็นดัง ประตูสวรรค์ที่กำลังเปิดต้อนรับเหล่ามวลมนุษย์ ขณะที่ในวันที่ท้องฟ้าปิดทึบ เมฆหมอกลอยปกคลุมช่องประตูเห็นจนมองไม่เห็นอะไรนั้น คนจีนเชื่อว่าช่วงนั้น เทวดากำลังประชุมกันอยู่จึงไม่เปิดประตูสวรรค์ให้มนุษย์เห็น
ด้วยเหตุนี้คนจีนจึงนิยมขึ้นมาเที่ยวที่ประตูสวรรค์แห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก เพราะเชื่อว่าใครที่ได้เห็นประตูสวรรค์ และได้ขึ้นประตูสวรรค์นั้นถือว่า(จะ)ประสพโชคดี อีกทั้งยังเชื่อว่าประตูสวรรค์เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นจุดรับพลัง จึงมีการขึ้นมาอธิษฐานขอพร ขึ้นมาผูกกุญแจแขวนคล้องที่ใต้ช่องประตูสวรรค์กันอย่างมากมาย
หลังตื่นตาตื่นใจในธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ของประตูสวรรค์กันเป็นที่เพลิดเพลินเจริญใจ ก็ได้เวลาลงจากบนช่องประตูสวรรค์แห่งนี้ โดยทางลง(และขึ้น)นั้น มีทั้งให้เลือกลงแบบสบายๆกับบันไดเลื่อนใต้ขุนเขาจุดที่ 2 (5ช่วง) แต่ว่าต้องเสียเงินเพิ่ม กับทางเดินลงบันไดปกติ จำนวน 999 ขั้น ที่แม้จะเดินเหนื่อย แต่ว่าก็ได้เห็นวิวของประตูสวรรค์กันแบบเต็มๆทั้งด้านบนและด้านล่าง ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน
จากบนช่องประตูสวรรค์ เมื่อลงมาถึงยังบริเวณลานชมวิวประตูสวรรค์(หรือบริเวณลานจอดรถ)ก็ได้เวลาล่ำลาขุนเขาประตูสวรรค์ พร้อมกับอีกหนึ่งประสบการณ์ตื่นเต้นหวาดเสียวส่งท้าย ด้วยการนั่งรถบัส(ที่ทางแหล่งท่องเที่ยวจัดเตรียมไว้)ผ่านถนน 99 โค้ง ที่นอกจากจะเล็กแคบแล้ว ยังทอดตัวลดเลี้ยวเคี้ยวโค้ง ปานประหนึ่งคล้ายงูยักษ์กำลังเลื้อยยักย้ายส่ายไปมา จนทำให้ถนนสายนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในถนนที่น่าหวาดเสียวที่สุดในโลก(และมีการเผยแพร่ภาพถนนกันในโลกออนไลน์อย่างแพร่หลาย)
อย่างไรก็ดีสุดท้ายแล้ว ผมกับเพื่อนๆก็ลงมาสู่พื้นล่างยังตัวเมืองจางเจียเจี้ย(บริเวณจุดเริ่มต้นขึ้นกระเช้า)อย่างปลอดภัยสะดวกโยธิน และชวนให้ประทับใจในความสวยงามน่ามหัศจรรย์อันเกิดจากธรรมชาติสรรค์สร้าง รวมถึงความทึ่งจากสิ่งก่อสร้างจากน้ำมือมนุษย์ ที่มาช่วยเติมแต่งสร้างสีสันให้การเที่ยวชมประตูสวรรค์มีอรรถรสมากยิ่งขึ้น
คุ้มค่ากับความหวาดเสียวที่เราได้ไปเผชิญมา
5...
จากความสวยงามของประตูสวรรค์ยามบ่ายที่ผมได้ไปสัมผัสมา ค่ำคืนนี้ยังมีอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์แห่งประตูสวรรค์ให้ทัศนากันผ่านการแสดงชุด“นางพญาจิ้งจอกขาว”(The Love Story Of A Woodman And A Fairy Fox) ที่เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ“จางอี้โหมว”ยอดผู้กำกับนามอุโฆษชาวจีน ที่โชว์มิวสิคคัลกลางแจ้งของเขาแต่ละแห่งนั้น ล้วนต่างสวยงาม ยิ่งใหญ่อลังการ และสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี
โชว์นางจิ้งจอกขาวเป็นการแสดงในรูปแบบมิวสิกคัลกลางแจ้ง โดยใช้ธรรมชาติแห่งขุนเขาและช่องประตูสวรรค์เป็นฉากตามธรรมชาติ ร่วมด้วยฉากอันอลังการ ผสานแสงสีอันตระการตา ตามสไตล์ของจางอี้โหมว พร้อมทั้งยังมีการดำเนินเรื่องที่กระชับ ตื่นเต้น ทำให้ดูเพลิน ไม่น่าเบื่อ ส่วนที่ผมชื่นชอบมากก็คือทีมคอรัสที่มาร้องกันสดๆข้างเวทีแบบจัดเต็ม ที่นอกจากจะฟังไพเราะเพราะพริ้งแล้วยังได้อารมณ์สุดๆ
สำหรับเนื้อเรื่อง(คร่าวๆ)ของโชว์นางจิ้งจอกขาว เป็นเรื่องราวความรักต่างสายพันธุ์ระหว่างคน คือ พระเอก ไอ้หนุ่มชายคนตัดฟืนผู้กตัญญู ขยันขันแข็ง และมีจิตใจดีงาม กับนางจิ้งจอกขาวที่มีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงร่างเป็นสาวงามผู้เลอโฉม
จิ้งจอกขาวนางนี้แม้เธอถูกราชาจิ้งจอก เลือกให้เป็นราชินีจิ้งจอก แต่เธอกับมาหลงรักพระเอก คนตัดฟืน อันมามาสู่เรื่องราวอันน่าตื่นเต้น วุ่นวาย และดราม่า ก่อนที่ท้ายที่สุดแล้วจะจบลงแบบแฮปปี้เอนด์ดิ้ง ซาบซึ้งและน่าประทับใจ
ชนิดที่คนดูชาวจีนหลายๆคนถึงกับซึ้งจนน้ำตาคลอหน่วย
.......................
ครับและนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของประตูสวรรค์แห่งเมืองจางเจียเจี้ย ที่ถือเป็นอีกหนึ่งความน่ามหัศจรรย์ของธรรมชาติ เคียงคู่กับ“ขุนเขาอวตาร”อันลือลั่นจากหนังเรื่องอวตาร ซึ่งว่ากันว่าหากใครมาเที่ยวจางเจียเจี้ยแล้วไม่ได้ไปขึ้นประตูสวรรค์ ก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงจางเจียเจี้ยโดยสมบูรณ์...(ติดตามอ่านเรื่องขุนเขาอวตารได้ในโอกาสต่อไป)
******************************************
จางเจียเจี้ย เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของมณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน จางเจียเจี้ยมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ ขุนเขาอวตารหรือขุนเขาจักรพรรดิ (ขุนเขา)ภาพเขียนสิบลี้ ถ้ำมังกรเหลือง พิพิธภัณฑ์ภาพวาดทราย และประตูสวรรค์ เป็นต้น
สำหรับการเดินทางจากเมืองไทยเส้นทางที่สะดวก คือใช้เส้นทางเมืองไทย-ฉางซา-จางเจียเจี้ย(หรือสามารถไปทางเมืองไทย-ฉงชิ่ง-จางเจียเจี้ย ก็ได้) ซึ่งวันนี้สายการบิน“แอร์เอเชีย”มีเที่ยวบินตรงสู่เมืองฉางซาใน 2 เส้นทางด้วยกัน คือ“กรุงเทพฯ-ฉางซา”(ดอนเมือง-ฉางซา)ทุกวัน และ“เชียงใหม่-ฉางซา”ทุกวันเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูตารางการบิน ตรวจสอบราคาและสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com
“อวตาร”(Avatar)
อิทธิพลของภาพยนตร์เรื่องนี้(ของผู้กำกับชื่อดัง“เจมส์ คาเมรอน”) ทำให้เมือง“จางเจียเจี้ย”มีชื่อเสียงโด่งดังระบือไกล ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาสัมผัสกับความสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจของ“ขุนเขาอวตาร”อันน่ามหัศจรรย์
และมีอยู่จริงในโลกใบนี้
1...
เมืองจางเจียเจี้ย ตั้งอยู่ในมณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน การเดินทางจากเมืองไทยที่สะดวกที่สุดคือ บินไปลงเมืองฉางซา แล้วต่อไปยังเมืองจางเจียเจี้ย ซึ่งวันนี้สายการบิน“แอร์เอเชีย”มีเที่ยวบินตรงจากเมืองไทยสู่ฉางซา ทั้ง“กรุงเทพฯ-ฉางซา”และ“เชียงใหม่-ฉางซา”
“ฉางซา”(Changsha) เป็นเมืองเอกของมณฑลหูหนาน จากเมืองฉางซาใช้เวลาเดินทางทางถนนด้วยรถบัสประมาณ 4 ชม. ก็จะถึงยังเมืองจางเจียเจี้ย ที่วันนี้เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของจีน เพราะเป็นเมืองที่มีธรรมชาติอันสวยงามแวดล้อมไปด้วยขุนเขา จนได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของจีนในปี ค.ศ.1992 (แต่เปิดให้มีการท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการในปี 1995)
เมืองจางเจียเจี้ยนอกจากจะมี“ขุนเขาอวตาร”หรือ“ขุนเขาจักรพรรดิ” อันลือลั่นเป็นไฮไลท์สำคัญทางการท่องเที่ยวของเมืองนี้แล้ว จางเจียเจี้ยยังมี“ประตูสวรรค์” เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญอันโดดเด่นเคียงคู่กับขุนเขาอวตาร
สำหรับโปรแกรมการเที่ยวประตูสวรรค์นั้น หากมาเป็นคณะทัวร์(ไทย) ส่วนใหญ่จะมีการพาไปแวะเที่ยวที่ “พิพิธภัณฑ์ภาพวาดทราย” ของ อาจารย์“หลี่ จุน เซิง”(Li Jun Sheng) ศิลปินชื่อดังของเมืองจีน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเมืองจางเจียเจี้ย
อาจารย์หลี่ จุน เซิง ได้นำวัสดุธรรมชาติอย่างเช่น เม็ดทราย กรวดสี หินสี กิ่งไม้ เปลือกไม้ มาสร้างสรรค์ด้วยเทคนิคภาพวาดสีน้ำมัน(ของตะวันตก)ผสมกับเทคนิคภาพวาดพู่กันจีน เกิดเป็นภาพวาดที่มีมิติ มีพื้นผิว(Texture)อันสวยงามน่าทึ่ง และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร จนได้รับการยกย่องขนานนามให้เป็น“ภาพเขียนทรายจุน เซิง” ซึ่ง อ.หลี่ ได้มีคำกล่าวถึงผลงานภาพเขียนของท่านว่า
"เป็นการร่ายรำด้วยทราย และการสนทนากับหมู่มวลหิน"
ภาพเขียนทรายจุน เซิง ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพวิวทิวทัศน์ของประเทศจีน โดยเฉพาะภาพวิวของเมืองจางเจียเจี้ย หลายๆภาพทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงเพื่อขาย(แต่บางภาพก็โชว์เฉยๆไม่ขาย)
ใครที่ถูกตาต้องใจก็สามารถเลือกซื้อกลับมาไว้ในคอลเลคชั่นกันได้ ซึ่งแม้ว่าสนนราคาโดยรวมจะค่อนข้างสูง แต่นี่คืองานศิลปะที่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้เสพ ผู้ซื้อเป็นหลัก ชอบก็ซื้อ ไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อ หรือใครที่ชอบแต่เมื่อเห็นราคาแล้วถอดใจ ก็ให้ซึมซับความงามเหล่านั้นเก็บไว้ในใจและในความทรงจำ(แม้ว่าจนท.พิพิธภัณฑ์สาวจีนหน้าตาจิ้มลิ้มบางคนจะพยายามบิวด์อารมณ์ด้วยภาษาไทยอันฉะฉานว่า ว่า “ชอบก็ซื้อ ไม่ชอบก็ซื้อ”ก็ตาม)
2...
หลังอุ่นเครื่องด้วยผลงานภาพวาดวิวทิวทัศน์แห่งขุนเขาอันสวยงามของเมืองจางเจียเจี้ยแล้ว จุดต่อไปเราเดินทางไปสัมผัสของจริงกันที่ “ประตูสวรรค์” (เทียนเหมินซาน)(บางคนเรียกว่า“ถ้ำประตูสวรรค์”) ที่เป็นขุนเขาสูง บนยอดมีลักษณะเป็นช่องหินหรือโพรงหินขนาดใหญ่ ดูคล้ายช่องประตูหินขนาดยักษ์ ดูโดดเด่นมองเห็นแต่ไกล(ณ บางมุมของใจกลางเมืองจางเจียเจี้ย)
สำหรับการเดินทางขึ้น-ลง และเที่ยวประตูสวรรค์นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งการเปิดประสบการณ์ทางการท่องเที่ยวที่แปลกใหม่ เพราะมันมีสิ่งชวน(หวาด)เสียว ให้ได้ท้าทายกันในหลายช่วงด้วยกัน
เริ่มจากความเสียวในช่วงแรกกับการนั่งกระเช้าหรือเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไป ซึ่งหากใครที่มาเที่ยวในช่วงเทศกาลสำคัญๆของจีนที่มีวันหยุดยาว อาจต้องรอนั่งกระเช้ากันขาลากนานถึง 2-4 ชม.(หรือมากกว่านั้น)ท่ามกลางนักท่องเที่ยว(ทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติ)ที่เบียดเสียดกันแน่นขนัด และพยายามแซงคิวกันอย่างบรรลัยวายป่วง(อันนี้ไม่เสียว แต่ที่ผ่านมาหวิดมีเรื่องกันหลายคณะจากการเบียดแซงกันไปแซงกันมา)
ส่วนถ้ามาในช่วงวันปกติที่มีนักท่องเที่ยว(มาก)พอประมาณอย่างในทริปนี้(ของผม) เราไปยืนรอกระเช้ากันไม่นาน(ไม่ถึงครึ่งชม.)ก็ได้นั่งกระเช้าขึ้นลอยเท้งเต้งกลางเวหากันแล้ว
กระเช้าขึ้น(และลง)ประตูสวรรค์ นั่งได้เต็มพิกัด 8 คน ถือว่ามีความพิเศษมาก เพราะเป็นกระเช้า(มากกว่า 1 ช่วง)ที่มีความยาวที่สุดในโลก ยาวถึงร่วม 7.5 กิโลเมตร(7,455 เมตร) ใช้เวลานั่งประมาณ 40 นาที
ระหว่างเส้นทางนั่งกระเช้า จะผ่านวิวทิวทัศน์อันสวยงามอยู่ 3 ช่วงด้วยกัน ช่วงแรกเป็นวิวตัวเมืองจางเจียเจี้ยที่เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างตึกรามบ้านเรือน ช่วงที่สองเป็นวิวชนบทของจางเจียเจี้ย กับทิวทัศน์ของหมู่บ้าน(เล็กๆ)ท้องไร่ ท้องนา แม่น้ำ
ส่วนช่วงที่สามเป็นทิวทัศน์ของขุนเขา ป่าไพร ด้านบนมองเห็นช่องประตูสวรรค์อยู่ไกลๆ ขณะที่ด้านล่างมองเห็นถนน 99 โค้ง เส้นทางขึ้น-ลงประตูสวรรค์ทางภาคพื้นดินอันสวยงามและน่าหวาดเสียวไม่น้อย
จากนั้นเส้นทางนั่งกระเช้าในช่วงสุดท้ายก่อนถึงยอดเขาประตูสวรรค์ มันคืออีกหนึ่งความสวยสุดเสียว กับเส้นทางนั่งกระเช้าช่วงเดียวที่เคลื่อนไต่ตามสายสลิงอันสูงชันดิกขึ้นสู่ยอดเขาท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันแสนงาม พร้อมชวนให้(แอบ)ลุ้นระทึกเล็กๆว่าเมื่อไหร่จะถึงยอดเขาสักที
3...
เมื่อกระเช้ามาถึงยังยอดเขาประตูสวรรค์ บนนี้มีลักษณะเป็นที่ราบขนาดใหญ่ เป็นป่าไม้และสิ่งก่อสร้างทางการท่องเที่ยว เช่น วัดเจ้าแม่กวนอิม สวนหย่อม และทางเดินชมทิวทัศน์เลาะเลียบริมผาที่น่ายลไปด้วยวิวของทะเลภูเขา และธรรมชาติอันสวยงาม ดูสดชื่นสบายตา
นอกจากนี้ที่พิเศษก็คือ บนเส้นทางเดินชมวิวยังมี “ทางเดินพื้นกระจกใส”(สกายวอล์คกระจกใส) ให้เลือกเดินพิสูจน์วัดใจ(มีทั้งฝั่งตอ.และ ตต.) กับทางเดินพื้นกระจกใสที่สร้างยืนออกมาจากหน้าผา พื้นกระจกหนาประมาณ 2.5 นิ้ว กว้างประมาณ 3 ฟุต ยาวกว่า 100 เมตร
ใครที่จะไปเดินชมวิววัดใจเปิดประสบการณ์แปลกใหม่บนสกายวอล์คยอดเขาประตูสวรรค์ จะต้องไปสวมใส่รองเท้าผ้าที่มีการจัดเตรียมไว้ให้ จากนั้นจึงค่อยๆเดินไปตามทางพื้นใสที่กำหนดไว้แบบวันเวย์ คือเมื่อตัดสินใจที่จะเดินไปแล้ว ห้ามเดินกลับ!!! นั่นเล่นเอาหลายๆคนเมื่อมาเดินถึงกลับเข่าอ่อนชนิดค่อยๆคลานไปก็มี (ส่วนใครที่คิดว่าไปไม่ไหวจริงๆก็ให้เดินไปบนพื้นปกติที่มีสร้างเชื่อมต่อไว้แคบๆริมผา)
ขณะที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเมื่อได้มาเดินบนนี้ดูจะดี๊ด๊า ถ่ายรูป เซลฟี่กันอย่างเพลิดเพลิน โดยไม่ค่อยได้สนใจวิวทิวทัศน์อันสวยงามที่เบื้องล่างสักเท่าไหร่ หากแต่พุ่งเป้าไปที่ความน่าตื่นตาตื่นใจของการได้มาเดินบนสกายวอล์คกระจกใสแห่งนี้มากกว่า
พ้นจากเส้นทางเดินบนสกายวอล์คกระจกใส จะเป็นเส้นทางเดินกลับ(อีกทาง)บนพื้นปกติ พากลับไปยังจุดเดิมเพื่อลงจากยอดเขาประตูสวรรค์สู่ช่องเขาประตูสวรรค์ ซึ่งวันนี้ประเทศจีนมีอีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่ทางการท่องเที่ยวมาให้ได้เปิดประสบการณ์แปลกใหม่กันอีกแล้ว กับ“บันไดเลื่อนในภูเขา”
บันไดเลื่อนในภูเขา เป็นการขุดเจาะภูเขาสร้างบันไดเลื่อน มี 2 จุดด้วยกัน จุดแรก เป็นบันไดเลื่อน(ขึ้น-ลง)จากยอดเขาประตูสวรรค์สู่ช่องประตูสวรรค์ มี 7 ช่วง ส่วนจุดสองเป็นบันไดเลื่อน(ขึ้น-ลง)จากช่องประตูสวรรค์ไปสู่บริเวณลานทางขึ้นช่องประตูสวรรค์(ลานจอดรถ) มีอยู่ 5 ช่วงด้วยกัน
สำหรับการเดินขึ้น-ลง บันไดเลื่อนในภูเขา เป็นการเดินไปในอุโมงค์ในขุนเขา มีบันไดเลื่อน(ขึ้น-ลง)เป็นเส้นทางสัญจรเชื่อมต่อ ซึ่งบันไดเลื่อนใต้ภูเขา(ประตูสวรรค์)ของที่นี่นั้น ถือเป็นเจ้าแรกๆของโลกที่ได้คิดสร้างทำขึ้น รวมถึงเปิดตัวให้ใช้กันแบบใหม่เอี่ยมอ่อง สดๆหมาดๆ
4…
หลังลงบันไดเลื่อนมาถึงยังช่องประตูสวรรค์ จากที่ผมได้เห็นช่องประตูแห่งนี้ไกลๆจากในตัวเมืองและจากการนั่งกระเช้าผ่าน มันดูเป็นช่องโพรงขนาดย่อม แต่ว่าเมื่อได้มาสัมผัสกับของจริงด้วยการไปยืนอยู่ใต้ประตูสวรรค์นั้น มันช่างเป็นช่องประตูหินอันใหญ่ยักษ์ที่ดูอลังการและน่าทึ่งมากๆ
ช่องประตูสวรรค์เกิดจากการระเบิดตามธรรมชาติของยอดเขาประตูสวรรค์(ในอดีต) มีความสูงถึง 131.5 เมตร กว้าง 57 เมตร และลึก 50 เมตร
ชาวจีนเชื่อว่าช่องประตูสวรรค์เป็นประตูของเหล่าทวยเทพเทวดา ในยามเช้าเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านช่องประตูหินดูสวยงามปานเนรมิต จึงจินตนาการว่าเป็นดัง ประตูสวรรค์ที่กำลังเปิดต้อนรับเหล่ามวลมนุษย์ ขณะที่ในวันที่ท้องฟ้าปิดทึบ เมฆหมอกลอยปกคลุมช่องประตูเห็นจนมองไม่เห็นอะไรนั้น คนจีนเชื่อว่าช่วงนั้น เทวดากำลังประชุมกันอยู่จึงไม่เปิดประตูสวรรค์ให้มนุษย์เห็น
ด้วยเหตุนี้คนจีนจึงนิยมขึ้นมาเที่ยวที่ประตูสวรรค์แห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก เพราะเชื่อว่าใครที่ได้เห็นประตูสวรรค์ และได้ขึ้นประตูสวรรค์นั้นถือว่า(จะ)ประสพโชคดี อีกทั้งยังเชื่อว่าประตูสวรรค์เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นจุดรับพลัง จึงมีการขึ้นมาอธิษฐานขอพร ขึ้นมาผูกกุญแจแขวนคล้องที่ใต้ช่องประตูสวรรค์กันอย่างมากมาย
หลังตื่นตาตื่นใจในธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ของประตูสวรรค์กันเป็นที่เพลิดเพลินเจริญใจ ก็ได้เวลาลงจากบนช่องประตูสวรรค์แห่งนี้ โดยทางลง(และขึ้น)นั้น มีทั้งให้เลือกลงแบบสบายๆกับบันไดเลื่อนใต้ขุนเขาจุดที่ 2 (5ช่วง) แต่ว่าต้องเสียเงินเพิ่ม กับทางเดินลงบันไดปกติ จำนวน 999 ขั้น ที่แม้จะเดินเหนื่อย แต่ว่าก็ได้เห็นวิวของประตูสวรรค์กันแบบเต็มๆทั้งด้านบนและด้านล่าง ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน
จากบนช่องประตูสวรรค์ เมื่อลงมาถึงยังบริเวณลานชมวิวประตูสวรรค์(หรือบริเวณลานจอดรถ)ก็ได้เวลาล่ำลาขุนเขาประตูสวรรค์ พร้อมกับอีกหนึ่งประสบการณ์ตื่นเต้นหวาดเสียวส่งท้าย ด้วยการนั่งรถบัส(ที่ทางแหล่งท่องเที่ยวจัดเตรียมไว้)ผ่านถนน 99 โค้ง ที่นอกจากจะเล็กแคบแล้ว ยังทอดตัวลดเลี้ยวเคี้ยวโค้ง ปานประหนึ่งคล้ายงูยักษ์กำลังเลื้อยยักย้ายส่ายไปมา จนทำให้ถนนสายนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในถนนที่น่าหวาดเสียวที่สุดในโลก(และมีการเผยแพร่ภาพถนนกันในโลกออนไลน์อย่างแพร่หลาย)
อย่างไรก็ดีสุดท้ายแล้ว ผมกับเพื่อนๆก็ลงมาสู่พื้นล่างยังตัวเมืองจางเจียเจี้ย(บริเวณจุดเริ่มต้นขึ้นกระเช้า)อย่างปลอดภัยสะดวกโยธิน และชวนให้ประทับใจในความสวยงามน่ามหัศจรรย์อันเกิดจากธรรมชาติสรรค์สร้าง รวมถึงความทึ่งจากสิ่งก่อสร้างจากน้ำมือมนุษย์ ที่มาช่วยเติมแต่งสร้างสีสันให้การเที่ยวชมประตูสวรรค์มีอรรถรสมากยิ่งขึ้น
คุ้มค่ากับความหวาดเสียวที่เราได้ไปเผชิญมา
5...
จากความสวยงามของประตูสวรรค์ยามบ่ายที่ผมได้ไปสัมผัสมา ค่ำคืนนี้ยังมีอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์แห่งประตูสวรรค์ให้ทัศนากันผ่านการแสดงชุด“นางพญาจิ้งจอกขาว”(The Love Story Of A Woodman And A Fairy Fox) ที่เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ“จางอี้โหมว”ยอดผู้กำกับนามอุโฆษชาวจีน ที่โชว์มิวสิคคัลกลางแจ้งของเขาแต่ละแห่งนั้น ล้วนต่างสวยงาม ยิ่งใหญ่อลังการ และสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี
โชว์นางจิ้งจอกขาวเป็นการแสดงในรูปแบบมิวสิกคัลกลางแจ้ง โดยใช้ธรรมชาติแห่งขุนเขาและช่องประตูสวรรค์เป็นฉากตามธรรมชาติ ร่วมด้วยฉากอันอลังการ ผสานแสงสีอันตระการตา ตามสไตล์ของจางอี้โหมว พร้อมทั้งยังมีการดำเนินเรื่องที่กระชับ ตื่นเต้น ทำให้ดูเพลิน ไม่น่าเบื่อ ส่วนที่ผมชื่นชอบมากก็คือทีมคอรัสที่มาร้องกันสดๆข้างเวทีแบบจัดเต็ม ที่นอกจากจะฟังไพเราะเพราะพริ้งแล้วยังได้อารมณ์สุดๆ
สำหรับเนื้อเรื่อง(คร่าวๆ)ของโชว์นางจิ้งจอกขาว เป็นเรื่องราวความรักต่างสายพันธุ์ระหว่างคน คือ พระเอก ไอ้หนุ่มชายคนตัดฟืนผู้กตัญญู ขยันขันแข็ง และมีจิตใจดีงาม กับนางจิ้งจอกขาวที่มีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงร่างเป็นสาวงามผู้เลอโฉม
จิ้งจอกขาวนางนี้แม้เธอถูกราชาจิ้งจอก เลือกให้เป็นราชินีจิ้งจอก แต่เธอกับมาหลงรักพระเอก คนตัดฟืน อันมามาสู่เรื่องราวอันน่าตื่นเต้น วุ่นวาย และดราม่า ก่อนที่ท้ายที่สุดแล้วจะจบลงแบบแฮปปี้เอนด์ดิ้ง ซาบซึ้งและน่าประทับใจ
ชนิดที่คนดูชาวจีนหลายๆคนถึงกับซึ้งจนน้ำตาคลอหน่วย
.......................
ครับและนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของประตูสวรรค์แห่งเมืองจางเจียเจี้ย ที่ถือเป็นอีกหนึ่งความน่ามหัศจรรย์ของธรรมชาติ เคียงคู่กับ“ขุนเขาอวตาร”อันลือลั่นจากหนังเรื่องอวตาร ซึ่งว่ากันว่าหากใครมาเที่ยวจางเจียเจี้ยแล้วไม่ได้ไปขึ้นประตูสวรรค์ ก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงจางเจียเจี้ยโดยสมบูรณ์...(ติดตามอ่านเรื่องขุนเขาอวตารได้ในโอกาสต่อไป)
******************************************
จางเจียเจี้ย เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของมณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน จางเจียเจี้ยมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ ขุนเขาอวตารหรือขุนเขาจักรพรรดิ (ขุนเขา)ภาพเขียนสิบลี้ ถ้ำมังกรเหลือง พิพิธภัณฑ์ภาพวาดทราย และประตูสวรรค์ เป็นต้น
สำหรับการเดินทางจากเมืองไทยเส้นทางที่สะดวก คือใช้เส้นทางเมืองไทย-ฉางซา-จางเจียเจี้ย(หรือสามารถไปทางเมืองไทย-ฉงชิ่ง-จางเจียเจี้ย ก็ได้) ซึ่งวันนี้สายการบิน“แอร์เอเชีย”มีเที่ยวบินตรงสู่เมืองฉางซาใน 2 เส้นทางด้วยกัน คือ“กรุงเทพฯ-ฉางซา”(ดอนเมือง-ฉางซา)ทุกวัน และ“เชียงใหม่-ฉางซา”ทุกวันเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูตารางการบิน ตรวจสอบราคาและสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com