โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
ผลพวงจากชื่อเสียงความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง “อวตาร”(Avatar) จากฝีมือการกำกับของ“เจมส์ คาเมรอน”พ่อมดแห่งวงการฟิล์ม ส่งผลให้ขุนเขาลอยฟ้าหรือ“ขุนเขาอวตาร”ที่ปรากฏเป็นฉากสำคัญของเรื่อง มีชื่อเสียงโด่งดังฮอตฮิตตามติดหนังอวตารไปในทันที
สำหรับขุนเขาลอยฟ้าแห่งดาวแพนดอร่าในหนังอวตารนั้นไม่ใช่ฉากในมโน หากแต่เป็นดินแดนที่มีอยู่จริงบนโลกนี้ ตั้งอยู่ใน เมือง“จางเจียเจี้ย” ประเทศจีน ซึ่งทางผู้สร้างนำมาเสริมแต่งจินตนาการ ใส่ CG เข้าไป กลายเป็นขุนเขาลอยฟ้าในมิติของต่างดาว
เมืองจางเจียเจี้ย ตั้งอยู่ในมณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ปัจจุบันจากเมืองไทยเส้นทางที่สะดวกและยอดนิยมที่สุด คือ บินตรงไปลงเมืองฉางซา เมืองเอกของมณฑลหูหนาน ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ สายการบินแอร์เอเชียได้เปิดเที่ยวบินตรงสู่เมืองนี้(ดอนเมือง-ฉางซา) จากนั้นเดินทางต่อด้วยรถสู่เมืองจางเจียเจี้ย เพื่อเตรียมพร้อมพิชิตขุนเขาอวตารอันน่าตื่นตาตื่นใจ
1...
จากเมืองฉางซาผมกับคณะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่งในการเดินทางสู่เมืองจางเจียเจี้ยด้วยรถบัส ในทริปนี้ดูสดใสมีสีสันชวนให้ผมคึกคักอักโข เมื่อได้ “เสี่ยวเหอ” หรือ“ยาย่า” กับ “หยาง หนิง” หรือ “ซูกัส” 2 สาวหน้าตาน่ารักมาเป็นไกด์กับผู้ช่วยไกด์คอยนำเที่ยว โดยมีพี่“วิเชียร” พี่ใหญ่ไกด์ไทยกำกับดูแลอีกที
พี่วิเชียรเป็นไกด์มากประสบการณ์(กว่า 30 ปี) ที่นอกจากจะมีหัวใจบริการเต็มเปี่ยมแล้ว แกยังเป็นผู้รอบรู้ประวัติศาสตร์จีนชนิดหาตัวจับยาก เวลาจับไมค์ มักจะต้องเล่าเรื่องบุคคลสำคัญๆของจีนให้ฟังกัน ชนิดที่ผมเฝ้ารอฟังด้วยใจจดใจจ่อ พี่แกเล่าทีไรเป็นต้องผล็อยหลับทุกที นับเป็นการฆ่าเวลาที่ดีทีเดียว
สำหรับเมืองฉางซานั้น ไกด์ยาย่าบอกว่าเป็นเมืองที่มีการพัฒนาเป็นอันดับหนึ่งของหูหนานในฐานะเมืองเอก ส่วนจางเจียเจี้ยนั้นแม้จะเป็นเมืองที่มีการพัฒนาในลำดับสุดท้าย(มณฑลหูหนานมี 13 เมือง) แต่กลับเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆของหูหนาน เพราะเมืองนี้โดดเด่นไปด้วยทิวทัศน์ของธรรมชาติอันสวยงามแปลกตา จนได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของเมืองจีนในปี ค.ศ.1992 และเปิดให้คนเข้าเที่ยวอย่างเป็นทางการในปี 1995
2…
หลังเดินทางแบบสบายๆจากฉางซามาสู่จางเจียเจี้ย ในเช้าวันรุ่งขึ้นคณะเราก็มีนัดกับแหล่งท่องสำคัญๆประจำเมืองกันที่ “อุทยานแห่งชาติอู่หลิงเหยียน” สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ประจำเมืองกับดีกรีแหล่งท่องเที่ยวระดับ AAAAA(5A) ชุดแรกๆของเมืองจีน
อุทยานฯอู่หลิงเหยียน หรือที่บ้านเรามักเรียกว่าอุทยานจางเจียเจี้ย มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแบ่งเป็น 2 สายในเส้นทางซ้าย-ขวา คือจางเจียเจี้ย-ซ้าย และเหยียนเจียเจี้ย-ขวา ซึ่งหลังนักท่องเที่ยวซื้อตั๋วราคา 245 หยวน ก็สามารถเลือกเส้นทางเที่ยวได้ว่าจะไปเส้นซ้ายหรือเส้นขวาก่อน
สำหรับคณะเราครั้งนี้ หลังตีตั๋วเข้าเขตอุทยานผ่านทางเข้าซุ้มประตูเก๋งจีนหลังใหญ่ พี่วิเชียรแกคะเนดูจากสภาพดินฟ้าอากาศแล้วก็เลือกที่จะไปในเส้นซ้าย-จางเจียเจี้ยก่อนในส่วนของกิจกรรมทัวร์ช่วงเช้า
ในเส้นทางสายนี้มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ 2 จุด จุดแรกคือ “ลำธารแส้ม้าทอง” เป็นลำธารน้ำในสะอาดไหลวนเวียนไปตามขุนเขา กับแมกไม้อันร่มรื่นและทิวทัศน์ของภูเขาหินที่ตั้งโดดเด่นโอบล้อม มีการสร้างสะพานเล็กๆข้ามลำธารไว้ในนักท่องเที่ยวเดินชื่นชมวิวกัน
เหตุที่ชื่อลำธารแส้ม้าทองนั้นมี 2 ที่มา ที่มาแรกมีระบุอยู่ในบทความภาคภาษาไทยที่ก็อปต่อๆกันมาสรุปว่า บริเวณนี้มีหินผาลูกหนึ่งมีรูปลักษณ์เหมือนแส้อาวุธโบราณ และในหินผามีแร่ซิลิกอนไดอ็อกไซด์ผสมอยู่ยามโดนแสงแดดจะสะท้อนเป็นประกายสีทองออกมา
ส่วนอีกที่มาหนึ่ง ระบุว่าลำธารสายนี้ที่ไหลมาจากภูเขา เมื่อมองจากที่สูงมีลักษณะแตกปลายเป็นเส้นสายคล้ายแส้ม้า ขณะที่ขุนเขาแวดล้อมนั้นในฤดูร้อนยามเย็นที่แสงแดดอ่อนๆเป็นสีทอง ขุนเขาเหล่านี้ที่ถูกแสงแดดอาบไล้จะทอดเงาสะท้อนในลำธารเป็นสีทองสวยงาม ซึ่งงานนี้ผมเชื่อข้อมูลอย่างหลังมากกว่า เพราะไกด์ยาย่าเธออธิบายให้ฟังจากคำบอกเล่าของคนในพื้นที่จริง
ลำธารแส้ม้าทอง หากมองผ่านด้วยๆสายตาคนไทยที่นี่อาจเป็นจุดชมลำธารน้ำใสท่ามกลงแวดล้อมของขุนเขารูปร่างแปลกตา แต่สำหรับคนจีนแล้ว เขาเชื่อว่าที่นี่(บริเวณจุดชมวิวลำธาร)มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะเป็นจุดที่มีลำธาร 4 สายไหลมาบรรจบกัน ณ บริเวณที่มีประตูหิน 4 ช่องมาพบกันพอดี
จากลำธารแส้ม้าทองยาย่าพาคณะเราไปดู “ภาพวาดสิบลี้” หรือ “ภาพเขียนสิบลี้”ที่เป็นทัศนียภาพของขุนเขารูปทรงประหลาดแปลกตาอันเป็นลักษณะเฉพาะของธรรมชาติที่นี่ การเที่ยวชมภาพวาดสิบลี้ของคณะเรานั้นเลือกใช้บริการรถรางนำชม(หรือใครจะเลือกเดินชมก็ได้)
ระหว่างทางเราจะได้เห็นทิวทัศน์ของขุนเขาเปลี่ยนมุมมองไปตามการเคลื่อนตัวของรถราง ซึ่งชาวจีนยกให้เป็นดังภาพวาดของจิตรกรเอก โดยมีภูผาหิน-ภูเขาหินรูปร่างแปลกตาให้ชวนจินตนาการ อาทิ หินหมาเห่า หินหอยสังข์ หินครอบครัว-พ่อ แม่ ลูก หินผู้เฒ่าหาสมุนไพร หินรูปนิ้วชี้ โดยรถรางจะพาไปยังจุดไฮไลท์ให้ลงเดินชม “หินสามพี่น้อง” หรือ “หินสามใบเถา” เพราะคนจีนมองกลุ่มหินชุดนี้เป็น สามพี่น้องผู้หญิงที่พี่สาว 2 คน กำลังตั้งท้องอยู่ โอ้ว...เข้าใจจินตนาการซะไม่มี
3...
หลังเที่ยวลำธารแส้ม้าทองและภาพวาดสิบลี้ไปในช่วงเช้า ช่วงบ่ายเรากลับมาที่อุทยานฯอู่หลิงเหยียนอีกครั้ง เพื่อขึ้นไปทางฝั่งขวา-เหยียนเจียเจี้ย เพื่อไปสัมผัสกับไฮไลท์ขุนเขาอวตาร ชมบรรยากาศในกลิ่นอายดาวแพนดอร่ากันให้หนำใจ
ขุนเขาอวตาร หรือ ขุนเขาจักรพรรดิ์(เทียนจื่อซาน) มีข้อมูลน่าสนใจระบุว่า เดิมกลุ่มขุนเขาชุดนี้มีชื่อเรียกขานกันว่า “ภูผาแห่งฟากฟ้าแดนใต้” (Southern Sky Column) เพราะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลหูหนาน แต่หลังหนังอวตารเข้าฉาย สร้างปรากฏการณ์ให้ขุนเขาจักรพรรดิโด่งดังระเบิดระเบ้อ ทำให้รัฐบาลท้องถิ่นเปลี่ยนฉายาขุนเขาแห่งนี้ใหม่เป็น “ภูเขาฮัลเลลูยาห์แห่งอวตาร” (Avatar Hallelujah Mountain) แต่คนมักจะเรียกกันสั้นๆตามชื่อหนังว่า “ภูเขาอวตาร” หรือ “ขุนเขาอวตาร”
ไกด์ของเราบอกว่าขุนเขาอวตารและกลุ่มขุนเขาในอุทยานอู่หลิงเหยียนเป็นภูเขาหินทราย มีอายุราว 380 ล้านปี ที่นี่เคยเป็นทะเลมาก่อน แล้วเปลือกโลกยุบตัว จากนั้นก็โดนลม ฝน กัดเซาะทำให้เกิดเป็นป่าขุนเขาหินยักษ์ดังในปัจจุบัน
สำหรับการขึ้นชมบนขุนเขาอวตารนั้น ทางการจีนจัดให้มี 2 เส้นทางสวนกัน คือทางหนึ่งขึ้นกระเช้าและมาลงลิฟต์แก้ว ส่วนอีกทางหนึ่งขึ้นลิฟต์แก้วแล้วไปลงกระเช้า ทั้งนี้เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวเพราะหลังหนังอวตารออกฉาย ที่นี่มีคนมาเที่ยวมากเหลือเกิน
งานนี้เราเลือกไปขึ้นลิฟต์แก้วก่อนแล้วจึงนั่งกระเช้ากลับ สำหรับลิฟต์แก้วที่นี่มีชื่อว่า “ไป่หลง” เป็นลิฟต์แก้วที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย ลิฟต์ตัวนี้สร้างปี 2000 เสร็จปี 2003 เป็นลิฟต์ 2 ชั้น จุคนได้ประมาณ 20 คนต่อชั้น ที่สำคัญคือมันเป็นลิฟต์แก้วที่ขึ้นสูงที่สุดในโลกถึง 326 เมตร แต่กลับใช้เวลานำเราขึ้นสู่ยอดเพียงแค่ 1.58 นาที โดยระหว่างทางเมื่อมองผ่านกระจกจะเห็นวิวทิวทัศน์ของขุนเขาและหุบเหวลึกแห่งดินแดนอวตารเป็นการเรียกน้ำย่อย
จากนั้นเมื่อขึ้นมาถึงยอดก็จะมีเส้นทางเดินเลาะเลียบผา ชมบรรยากาศของขุนเขาอวตารในกลิ่นอายดาวแพนดอร่า โดยมียอดเขากว่า 3 พันยอด มียอดสูงสุดสูง 1,250 เมตร จากระดับน้ำทะเล ส่วนใครที่เดินไม่ไหวเขามีเกี้ยวไว้บริการให้พนักงานแบกนั่งชมวิวทิวทัศน์กัน
ระหว่างทางจะมีจุดให้หยุดชมวิวป่าแท่งหินยักษ์แห่งขุนเขาอวตารเป็นระยะ เขาหินยักษ์ส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายกันคือเป็นเป็นแท่งเขาหินยักษ์ตั้งตระหง่านขึ้นมาจากหุบเหวลึกทิ่มแทงเสียดฟ้าขึ้นมา ท่ามกลางธรรมชาติแวดล้อมกันอุดมสมบูรณ์ มีทั้งสะพานหินธรรมชาติและสะพานข้ามเหวที่ชาวจีนสร้างขึ้นเชื่อมเส้นทางท่องเที่ยว
หลังขุนเขากลุ่มนี้โด่งดังขึ้นมาจากหนังอวตาร ชาวจีนเขาก็ได้มาสร้างพร็อพถ่ายรูปเพิ่มกับตัวกิ้งก่าบินจากในหนังให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป แต่ในวันที่ผมไปเจ้ากิ้งก่าบินได้ถูกกันท่าจากพวกรับจ้างถ่ายรูปไปเสียหมด รวมถึงมีภาพจากหนังอวตารมาติดเปรียบเทียบให้ดู ซึ่งในหนังเขาใช้ CG ทำให้เป็นขุนเขาลอยฟ้าด้วยการลบฐานข้างล่างออก
นอกจากนี้บนเส้นทางเดินชมป่าขุนเขาหินยังมีบางมุมที่ได้รับอิทธิพลจากเกาหลีมาเต็มๆ เพราะที่นี่อยู่ใกล้เกาหลี มีเที่ยวบินตรง ชาวเกาหลีมาเที่ยวกันเยอะมาก เขาจึงทำมุมคล้องกุญแจอธิษฐานไว้ให้ แต่ด้วยอากาศที่เย็นชื้นทำให้กุญแจที่คล้องส่วนใหญ่สนิมจับเขรอะเลย
สำหรับการเดินชมขุนเขาอวตารนั้น สภาพดินฟ้าอากาศถือเป็นเรื่องสำคัญ บางอากาศฟ้าเป็นใจ มีเมฆหมอกลอยอย่างเหมาะสม ให้อารมณ์เหมือนเดินอยู่บนสวรรค์ ส่วนบางวันอย่างที่ผมไป ฟ้าหม่น แสงหมด จึงเห็นขุนเขาอวตารในแบบหม่นๆขมุกขมัว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าบางวันที่หมอกลงหนักฟ้ามืดทึบ ซึ่งใครที่เจอแบบนั้นบอกได้เลยว่า “จบข่าว”!!
หลังผมใช้เวลาเดินชมวิวถ่ายรูปไปเรื่อยๆไปตามเส้นทางที่กำหนดแล้วไปออกยังจุดนัดพบ กระแสหมอกที่ไม่ได้นัดหมายได้พร้อมใจกันลงลงหนาทึบ ทำให้ผมต้องจบข่าวกับ “สวนสาธารณะจอมพลเฮ่อหลง” ที่เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวน่าสนใจแห่งเหยียนเจียเจี้ย
ด้วยสภาพการณ์แบบนี้เราจึงนั่งกระเช้าฝ่าสายหมอกหนาทึบกลับที่ระหว่างทางมองเห็นขุนเขาตั้งตระหง่านในบางช่วง ดูแปลกตาไปอีกแบบ ก่อนลงสู่เบื้องล่าง ณ ปากประตูทางเข้า เจดีย์หลังใหญ่ ปิดกิจกรรมตามรอยหนังอวตารที่ต้องยอมรับว่า หลังหนังเรื่องนี้ออกฉายได้ทำให้ขุนเขาจักรพรรดิแห่งเมืองจางเจียเจี้ย กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอันดับต้นๆของเมืองจีนขึ้นมาทันที
และนี่ก็ทำให้จากเดิมที่คนจีนมีคำกล่าวไว้ว่า ถ้าจะชมขุนเขาต้องไปที่หวงซาน(เพราะมีทิวทัศน์ของขุนเขาที่สวยงามนัก) วันนี้ได้เปลี่ยนมาเป็น “ถ้าจะเที่ยวชมทิวทัศน์ขุนเขาต้องไปที่จางเจียเจี้ย” แทน
4...
ด้วยความที่ขุนเขาอวตารวันนี้ยังคงขึ้นหม้อ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีน เกาหลี รวมไปถึงไทย ดังนั้นหากไปผิดจังหวะในบางฤดู บางช่วงบางวัน เราอาจจะต้องเจอกับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
หากคิดเบ็ดเสร็จแล้ว จากเช้าถึงเย็นที่เที่ยวกันแบบเต็มวันจนค่ำมืดในอุทยานฯอู่หลิงเหยียนนั้น หากแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 3 ส่วน ผมกับคณะได้เที่ยวกันจริงๆประมาณแค่ 1 ส่วน ส่วนอีก 2 ส่วนที่เหลือเป็นการยืนรอต่อคิวเพื่อ ต่อรถขึ้นรถ ขึ้นลิฟต์ ขึ้นกระเช้า รอผ่านประตู เข้าคิวเข้าห้องน้ำกันเนืองแน่น อันเนื่องมาจากมีมวลมหานักท่องเที่ยวมากันเต็มแน่นไปหมด
แต่นั่นดูจะไม่เป็นปัญหาและชวนให้หงุดหงิดเท่ากับการถูกเบียดถูกแทรก ถูกแซง จากนักท่องเที่ยวชาวจีนและเกาหลีจำนวนหนึ่งที่เห็นการแซงคิวเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะบรรดาเหล่าคุณลุงคุณป้า ที่แซงกันไปแซงกันมาจนถึงขนาดคนจีนกับเกาหลีต้องโวยวายด่ากัน แต่โชคดีที่ด่ากันคนละภาษา คนจีนด่าจีน เกาหลีด่าเกาหลี ส่วนคนไทยก็ยืนฟังด่าปริบๆ ไม่รู้เข้าใจ แต่รู้ว่าด่ากัน ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้ทั้งหมด แต่คนแซงได้ไปก่อนสมใจ
สำหรับเรื่องที่ผมเล่านี่ เพื่อจะเป็นข้อมูลให้กับคนที่จะไปเที่ยวเมืองจีน ว่าอาจจะต้องเจอกับมวลมหานักท่องเที่ยว และเจอกับปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อจะได้เตรียมใจในการรับมือกับสภาพการณ์แบบนี้
แถมบ่อยครั้งยังเป็นการเตรียมใจเพื่อที่จะได้ยกระดับสู่การ “ทำใจ”!!!
*****************************************
ในจางเจียเจี้ยยังมีสถานที่สิ่งน่าสนใจ ชวนเที่ยวชม เขาประตูสวรรค์ ถ้ำมังกรเหลือง และโชว์ชุดนางจิ้งจอกขาว อันอลังการ ฝีมือกำกับโดยจางอี้โหมว ยอดผู้กำกับจีนชื่อก้องโลก
และด้วยความมีชื่อเสียงของขุนเขา อวตาร และเมืองจางเจียเจี้ย ทำให้เมื่อไม่นานมานี้ สายการบินแอร์เอเชียได้เปิดเที่ยวบิน “กรุงเทพฯ(ดอนเมือง) -ฉางชา” วันละ 1 เที่ยวบินต่อวัน เพื่อเป็นฮับเดินทางต่อไปยังจางเจียเจี้ยและเมืองท่องเที่ยวอื่นๆในหูหนาน เช่น เมืองโบราณ เฟิ่งหวง เป็นต้น
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูตารางการบิน ตรวจสอบราคาและสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com
ผลพวงจากชื่อเสียงความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง “อวตาร”(Avatar) จากฝีมือการกำกับของ“เจมส์ คาเมรอน”พ่อมดแห่งวงการฟิล์ม ส่งผลให้ขุนเขาลอยฟ้าหรือ“ขุนเขาอวตาร”ที่ปรากฏเป็นฉากสำคัญของเรื่อง มีชื่อเสียงโด่งดังฮอตฮิตตามติดหนังอวตารไปในทันที
สำหรับขุนเขาลอยฟ้าแห่งดาวแพนดอร่าในหนังอวตารนั้นไม่ใช่ฉากในมโน หากแต่เป็นดินแดนที่มีอยู่จริงบนโลกนี้ ตั้งอยู่ใน เมือง“จางเจียเจี้ย” ประเทศจีน ซึ่งทางผู้สร้างนำมาเสริมแต่งจินตนาการ ใส่ CG เข้าไป กลายเป็นขุนเขาลอยฟ้าในมิติของต่างดาว
เมืองจางเจียเจี้ย ตั้งอยู่ในมณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ปัจจุบันจากเมืองไทยเส้นทางที่สะดวกและยอดนิยมที่สุด คือ บินตรงไปลงเมืองฉางซา เมืองเอกของมณฑลหูหนาน ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ สายการบินแอร์เอเชียได้เปิดเที่ยวบินตรงสู่เมืองนี้(ดอนเมือง-ฉางซา) จากนั้นเดินทางต่อด้วยรถสู่เมืองจางเจียเจี้ย เพื่อเตรียมพร้อมพิชิตขุนเขาอวตารอันน่าตื่นตาตื่นใจ
1...
จากเมืองฉางซาผมกับคณะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่งในการเดินทางสู่เมืองจางเจียเจี้ยด้วยรถบัส ในทริปนี้ดูสดใสมีสีสันชวนให้ผมคึกคักอักโข เมื่อได้ “เสี่ยวเหอ” หรือ“ยาย่า” กับ “หยาง หนิง” หรือ “ซูกัส” 2 สาวหน้าตาน่ารักมาเป็นไกด์กับผู้ช่วยไกด์คอยนำเที่ยว โดยมีพี่“วิเชียร” พี่ใหญ่ไกด์ไทยกำกับดูแลอีกที
พี่วิเชียรเป็นไกด์มากประสบการณ์(กว่า 30 ปี) ที่นอกจากจะมีหัวใจบริการเต็มเปี่ยมแล้ว แกยังเป็นผู้รอบรู้ประวัติศาสตร์จีนชนิดหาตัวจับยาก เวลาจับไมค์ มักจะต้องเล่าเรื่องบุคคลสำคัญๆของจีนให้ฟังกัน ชนิดที่ผมเฝ้ารอฟังด้วยใจจดใจจ่อ พี่แกเล่าทีไรเป็นต้องผล็อยหลับทุกที นับเป็นการฆ่าเวลาที่ดีทีเดียว
สำหรับเมืองฉางซานั้น ไกด์ยาย่าบอกว่าเป็นเมืองที่มีการพัฒนาเป็นอันดับหนึ่งของหูหนานในฐานะเมืองเอก ส่วนจางเจียเจี้ยนั้นแม้จะเป็นเมืองที่มีการพัฒนาในลำดับสุดท้าย(มณฑลหูหนานมี 13 เมือง) แต่กลับเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆของหูหนาน เพราะเมืองนี้โดดเด่นไปด้วยทิวทัศน์ของธรรมชาติอันสวยงามแปลกตา จนได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของเมืองจีนในปี ค.ศ.1992 และเปิดให้คนเข้าเที่ยวอย่างเป็นทางการในปี 1995
2…
หลังเดินทางแบบสบายๆจากฉางซามาสู่จางเจียเจี้ย ในเช้าวันรุ่งขึ้นคณะเราก็มีนัดกับแหล่งท่องสำคัญๆประจำเมืองกันที่ “อุทยานแห่งชาติอู่หลิงเหยียน” สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ประจำเมืองกับดีกรีแหล่งท่องเที่ยวระดับ AAAAA(5A) ชุดแรกๆของเมืองจีน
อุทยานฯอู่หลิงเหยียน หรือที่บ้านเรามักเรียกว่าอุทยานจางเจียเจี้ย มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแบ่งเป็น 2 สายในเส้นทางซ้าย-ขวา คือจางเจียเจี้ย-ซ้าย และเหยียนเจียเจี้ย-ขวา ซึ่งหลังนักท่องเที่ยวซื้อตั๋วราคา 245 หยวน ก็สามารถเลือกเส้นทางเที่ยวได้ว่าจะไปเส้นซ้ายหรือเส้นขวาก่อน
สำหรับคณะเราครั้งนี้ หลังตีตั๋วเข้าเขตอุทยานผ่านทางเข้าซุ้มประตูเก๋งจีนหลังใหญ่ พี่วิเชียรแกคะเนดูจากสภาพดินฟ้าอากาศแล้วก็เลือกที่จะไปในเส้นซ้าย-จางเจียเจี้ยก่อนในส่วนของกิจกรรมทัวร์ช่วงเช้า
ในเส้นทางสายนี้มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ 2 จุด จุดแรกคือ “ลำธารแส้ม้าทอง” เป็นลำธารน้ำในสะอาดไหลวนเวียนไปตามขุนเขา กับแมกไม้อันร่มรื่นและทิวทัศน์ของภูเขาหินที่ตั้งโดดเด่นโอบล้อม มีการสร้างสะพานเล็กๆข้ามลำธารไว้ในนักท่องเที่ยวเดินชื่นชมวิวกัน
เหตุที่ชื่อลำธารแส้ม้าทองนั้นมี 2 ที่มา ที่มาแรกมีระบุอยู่ในบทความภาคภาษาไทยที่ก็อปต่อๆกันมาสรุปว่า บริเวณนี้มีหินผาลูกหนึ่งมีรูปลักษณ์เหมือนแส้อาวุธโบราณ และในหินผามีแร่ซิลิกอนไดอ็อกไซด์ผสมอยู่ยามโดนแสงแดดจะสะท้อนเป็นประกายสีทองออกมา
ส่วนอีกที่มาหนึ่ง ระบุว่าลำธารสายนี้ที่ไหลมาจากภูเขา เมื่อมองจากที่สูงมีลักษณะแตกปลายเป็นเส้นสายคล้ายแส้ม้า ขณะที่ขุนเขาแวดล้อมนั้นในฤดูร้อนยามเย็นที่แสงแดดอ่อนๆเป็นสีทอง ขุนเขาเหล่านี้ที่ถูกแสงแดดอาบไล้จะทอดเงาสะท้อนในลำธารเป็นสีทองสวยงาม ซึ่งงานนี้ผมเชื่อข้อมูลอย่างหลังมากกว่า เพราะไกด์ยาย่าเธออธิบายให้ฟังจากคำบอกเล่าของคนในพื้นที่จริง
ลำธารแส้ม้าทอง หากมองผ่านด้วยๆสายตาคนไทยที่นี่อาจเป็นจุดชมลำธารน้ำใสท่ามกลงแวดล้อมของขุนเขารูปร่างแปลกตา แต่สำหรับคนจีนแล้ว เขาเชื่อว่าที่นี่(บริเวณจุดชมวิวลำธาร)มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะเป็นจุดที่มีลำธาร 4 สายไหลมาบรรจบกัน ณ บริเวณที่มีประตูหิน 4 ช่องมาพบกันพอดี
จากลำธารแส้ม้าทองยาย่าพาคณะเราไปดู “ภาพวาดสิบลี้” หรือ “ภาพเขียนสิบลี้”ที่เป็นทัศนียภาพของขุนเขารูปทรงประหลาดแปลกตาอันเป็นลักษณะเฉพาะของธรรมชาติที่นี่ การเที่ยวชมภาพวาดสิบลี้ของคณะเรานั้นเลือกใช้บริการรถรางนำชม(หรือใครจะเลือกเดินชมก็ได้)
ระหว่างทางเราจะได้เห็นทิวทัศน์ของขุนเขาเปลี่ยนมุมมองไปตามการเคลื่อนตัวของรถราง ซึ่งชาวจีนยกให้เป็นดังภาพวาดของจิตรกรเอก โดยมีภูผาหิน-ภูเขาหินรูปร่างแปลกตาให้ชวนจินตนาการ อาทิ หินหมาเห่า หินหอยสังข์ หินครอบครัว-พ่อ แม่ ลูก หินผู้เฒ่าหาสมุนไพร หินรูปนิ้วชี้ โดยรถรางจะพาไปยังจุดไฮไลท์ให้ลงเดินชม “หินสามพี่น้อง” หรือ “หินสามใบเถา” เพราะคนจีนมองกลุ่มหินชุดนี้เป็น สามพี่น้องผู้หญิงที่พี่สาว 2 คน กำลังตั้งท้องอยู่ โอ้ว...เข้าใจจินตนาการซะไม่มี
3...
หลังเที่ยวลำธารแส้ม้าทองและภาพวาดสิบลี้ไปในช่วงเช้า ช่วงบ่ายเรากลับมาที่อุทยานฯอู่หลิงเหยียนอีกครั้ง เพื่อขึ้นไปทางฝั่งขวา-เหยียนเจียเจี้ย เพื่อไปสัมผัสกับไฮไลท์ขุนเขาอวตาร ชมบรรยากาศในกลิ่นอายดาวแพนดอร่ากันให้หนำใจ
ขุนเขาอวตาร หรือ ขุนเขาจักรพรรดิ์(เทียนจื่อซาน) มีข้อมูลน่าสนใจระบุว่า เดิมกลุ่มขุนเขาชุดนี้มีชื่อเรียกขานกันว่า “ภูผาแห่งฟากฟ้าแดนใต้” (Southern Sky Column) เพราะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลหูหนาน แต่หลังหนังอวตารเข้าฉาย สร้างปรากฏการณ์ให้ขุนเขาจักรพรรดิโด่งดังระเบิดระเบ้อ ทำให้รัฐบาลท้องถิ่นเปลี่ยนฉายาขุนเขาแห่งนี้ใหม่เป็น “ภูเขาฮัลเลลูยาห์แห่งอวตาร” (Avatar Hallelujah Mountain) แต่คนมักจะเรียกกันสั้นๆตามชื่อหนังว่า “ภูเขาอวตาร” หรือ “ขุนเขาอวตาร”
ไกด์ของเราบอกว่าขุนเขาอวตารและกลุ่มขุนเขาในอุทยานอู่หลิงเหยียนเป็นภูเขาหินทราย มีอายุราว 380 ล้านปี ที่นี่เคยเป็นทะเลมาก่อน แล้วเปลือกโลกยุบตัว จากนั้นก็โดนลม ฝน กัดเซาะทำให้เกิดเป็นป่าขุนเขาหินยักษ์ดังในปัจจุบัน
สำหรับการขึ้นชมบนขุนเขาอวตารนั้น ทางการจีนจัดให้มี 2 เส้นทางสวนกัน คือทางหนึ่งขึ้นกระเช้าและมาลงลิฟต์แก้ว ส่วนอีกทางหนึ่งขึ้นลิฟต์แก้วแล้วไปลงกระเช้า ทั้งนี้เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวเพราะหลังหนังอวตารออกฉาย ที่นี่มีคนมาเที่ยวมากเหลือเกิน
งานนี้เราเลือกไปขึ้นลิฟต์แก้วก่อนแล้วจึงนั่งกระเช้ากลับ สำหรับลิฟต์แก้วที่นี่มีชื่อว่า “ไป่หลง” เป็นลิฟต์แก้วที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย ลิฟต์ตัวนี้สร้างปี 2000 เสร็จปี 2003 เป็นลิฟต์ 2 ชั้น จุคนได้ประมาณ 20 คนต่อชั้น ที่สำคัญคือมันเป็นลิฟต์แก้วที่ขึ้นสูงที่สุดในโลกถึง 326 เมตร แต่กลับใช้เวลานำเราขึ้นสู่ยอดเพียงแค่ 1.58 นาที โดยระหว่างทางเมื่อมองผ่านกระจกจะเห็นวิวทิวทัศน์ของขุนเขาและหุบเหวลึกแห่งดินแดนอวตารเป็นการเรียกน้ำย่อย
จากนั้นเมื่อขึ้นมาถึงยอดก็จะมีเส้นทางเดินเลาะเลียบผา ชมบรรยากาศของขุนเขาอวตารในกลิ่นอายดาวแพนดอร่า โดยมียอดเขากว่า 3 พันยอด มียอดสูงสุดสูง 1,250 เมตร จากระดับน้ำทะเล ส่วนใครที่เดินไม่ไหวเขามีเกี้ยวไว้บริการให้พนักงานแบกนั่งชมวิวทิวทัศน์กัน
ระหว่างทางจะมีจุดให้หยุดชมวิวป่าแท่งหินยักษ์แห่งขุนเขาอวตารเป็นระยะ เขาหินยักษ์ส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายกันคือเป็นเป็นแท่งเขาหินยักษ์ตั้งตระหง่านขึ้นมาจากหุบเหวลึกทิ่มแทงเสียดฟ้าขึ้นมา ท่ามกลางธรรมชาติแวดล้อมกันอุดมสมบูรณ์ มีทั้งสะพานหินธรรมชาติและสะพานข้ามเหวที่ชาวจีนสร้างขึ้นเชื่อมเส้นทางท่องเที่ยว
หลังขุนเขากลุ่มนี้โด่งดังขึ้นมาจากหนังอวตาร ชาวจีนเขาก็ได้มาสร้างพร็อพถ่ายรูปเพิ่มกับตัวกิ้งก่าบินจากในหนังให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป แต่ในวันที่ผมไปเจ้ากิ้งก่าบินได้ถูกกันท่าจากพวกรับจ้างถ่ายรูปไปเสียหมด รวมถึงมีภาพจากหนังอวตารมาติดเปรียบเทียบให้ดู ซึ่งในหนังเขาใช้ CG ทำให้เป็นขุนเขาลอยฟ้าด้วยการลบฐานข้างล่างออก
นอกจากนี้บนเส้นทางเดินชมป่าขุนเขาหินยังมีบางมุมที่ได้รับอิทธิพลจากเกาหลีมาเต็มๆ เพราะที่นี่อยู่ใกล้เกาหลี มีเที่ยวบินตรง ชาวเกาหลีมาเที่ยวกันเยอะมาก เขาจึงทำมุมคล้องกุญแจอธิษฐานไว้ให้ แต่ด้วยอากาศที่เย็นชื้นทำให้กุญแจที่คล้องส่วนใหญ่สนิมจับเขรอะเลย
สำหรับการเดินชมขุนเขาอวตารนั้น สภาพดินฟ้าอากาศถือเป็นเรื่องสำคัญ บางอากาศฟ้าเป็นใจ มีเมฆหมอกลอยอย่างเหมาะสม ให้อารมณ์เหมือนเดินอยู่บนสวรรค์ ส่วนบางวันอย่างที่ผมไป ฟ้าหม่น แสงหมด จึงเห็นขุนเขาอวตารในแบบหม่นๆขมุกขมัว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าบางวันที่หมอกลงหนักฟ้ามืดทึบ ซึ่งใครที่เจอแบบนั้นบอกได้เลยว่า “จบข่าว”!!
หลังผมใช้เวลาเดินชมวิวถ่ายรูปไปเรื่อยๆไปตามเส้นทางที่กำหนดแล้วไปออกยังจุดนัดพบ กระแสหมอกที่ไม่ได้นัดหมายได้พร้อมใจกันลงลงหนาทึบ ทำให้ผมต้องจบข่าวกับ “สวนสาธารณะจอมพลเฮ่อหลง” ที่เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวน่าสนใจแห่งเหยียนเจียเจี้ย
ด้วยสภาพการณ์แบบนี้เราจึงนั่งกระเช้าฝ่าสายหมอกหนาทึบกลับที่ระหว่างทางมองเห็นขุนเขาตั้งตระหง่านในบางช่วง ดูแปลกตาไปอีกแบบ ก่อนลงสู่เบื้องล่าง ณ ปากประตูทางเข้า เจดีย์หลังใหญ่ ปิดกิจกรรมตามรอยหนังอวตารที่ต้องยอมรับว่า หลังหนังเรื่องนี้ออกฉายได้ทำให้ขุนเขาจักรพรรดิแห่งเมืองจางเจียเจี้ย กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอันดับต้นๆของเมืองจีนขึ้นมาทันที
และนี่ก็ทำให้จากเดิมที่คนจีนมีคำกล่าวไว้ว่า ถ้าจะชมขุนเขาต้องไปที่หวงซาน(เพราะมีทิวทัศน์ของขุนเขาที่สวยงามนัก) วันนี้ได้เปลี่ยนมาเป็น “ถ้าจะเที่ยวชมทิวทัศน์ขุนเขาต้องไปที่จางเจียเจี้ย” แทน
4...
ด้วยความที่ขุนเขาอวตารวันนี้ยังคงขึ้นหม้อ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีน เกาหลี รวมไปถึงไทย ดังนั้นหากไปผิดจังหวะในบางฤดู บางช่วงบางวัน เราอาจจะต้องเจอกับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
หากคิดเบ็ดเสร็จแล้ว จากเช้าถึงเย็นที่เที่ยวกันแบบเต็มวันจนค่ำมืดในอุทยานฯอู่หลิงเหยียนนั้น หากแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 3 ส่วน ผมกับคณะได้เที่ยวกันจริงๆประมาณแค่ 1 ส่วน ส่วนอีก 2 ส่วนที่เหลือเป็นการยืนรอต่อคิวเพื่อ ต่อรถขึ้นรถ ขึ้นลิฟต์ ขึ้นกระเช้า รอผ่านประตู เข้าคิวเข้าห้องน้ำกันเนืองแน่น อันเนื่องมาจากมีมวลมหานักท่องเที่ยวมากันเต็มแน่นไปหมด
แต่นั่นดูจะไม่เป็นปัญหาและชวนให้หงุดหงิดเท่ากับการถูกเบียดถูกแทรก ถูกแซง จากนักท่องเที่ยวชาวจีนและเกาหลีจำนวนหนึ่งที่เห็นการแซงคิวเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะบรรดาเหล่าคุณลุงคุณป้า ที่แซงกันไปแซงกันมาจนถึงขนาดคนจีนกับเกาหลีต้องโวยวายด่ากัน แต่โชคดีที่ด่ากันคนละภาษา คนจีนด่าจีน เกาหลีด่าเกาหลี ส่วนคนไทยก็ยืนฟังด่าปริบๆ ไม่รู้เข้าใจ แต่รู้ว่าด่ากัน ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้ทั้งหมด แต่คนแซงได้ไปก่อนสมใจ
สำหรับเรื่องที่ผมเล่านี่ เพื่อจะเป็นข้อมูลให้กับคนที่จะไปเที่ยวเมืองจีน ว่าอาจจะต้องเจอกับมวลมหานักท่องเที่ยว และเจอกับปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อจะได้เตรียมใจในการรับมือกับสภาพการณ์แบบนี้
แถมบ่อยครั้งยังเป็นการเตรียมใจเพื่อที่จะได้ยกระดับสู่การ “ทำใจ”!!!
*****************************************
ในจางเจียเจี้ยยังมีสถานที่สิ่งน่าสนใจ ชวนเที่ยวชม เขาประตูสวรรค์ ถ้ำมังกรเหลือง และโชว์ชุดนางจิ้งจอกขาว อันอลังการ ฝีมือกำกับโดยจางอี้โหมว ยอดผู้กำกับจีนชื่อก้องโลก
และด้วยความมีชื่อเสียงของขุนเขา อวตาร และเมืองจางเจียเจี้ย ทำให้เมื่อไม่นานมานี้ สายการบินแอร์เอเชียได้เปิดเที่ยวบิน “กรุงเทพฯ(ดอนเมือง) -ฉางชา” วันละ 1 เที่ยวบินต่อวัน เพื่อเป็นฮับเดินทางต่อไปยังจางเจียเจี้ยและเมืองท่องเที่ยวอื่นๆในหูหนาน เช่น เมืองโบราณ เฟิ่งหวง เป็นต้น
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูตารางการบิน ตรวจสอบราคาและสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com